ผู้ป่วยเคมีบำบัด

คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้ป่วยเคมีบำบัดฉบับสมบูรณ์

การได้รับยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “คีโม” คือหนึ่งในวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพแต่ยาเคมีบำบัดจะส่งผลต่อเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วในร่างกายซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่เซลล์มะเร็งเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเซลล์ปกติอื่นๆเช่นเซลล์ในไขกระดูกเส้นผมและที่สำคัญคือ เซลล์เยื่อบุช่องปาก

ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดจึงมักพบปัญหาและภาวะแทรกซ้อนในช่องปากได้บ่อยครั้งการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกต้องการเตรียมตัวที่ดีทั้งก่อนระหว่างและหลังการรักษาจะช่วยลดความรุนแรงของอาการบรรเทาความเจ็บปวดป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติและผ่านพ้นช่วงเวลาการรักษาไปได้อย่างราบรื่น

คู่มือฉบับนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นและครอบคลุมทุกด้านเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้ป่วยเคมีบำบัดเพื่อให้ท่านและผู้ดูแลสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด

 

ความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากในช่วงรับเคมีบำบัด

ยาเคมีบำบัดสามารถส่งผลกระทบต่อช่องปากได้หลายประการ:

  • ลดการสร้างน้ำลาย: ทำให้เกิดภาวะปากแห้ง (Xerostomia) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุโรคเหงือกและการติดเชื้อราในช่องปาก
  • ทำลายเซลล์เยื่อบุช่องปาก: ทำให้เยื่อบุช่องปากบางลงอักเสบเป็นแผลหรือที่เรียกว่าภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบ (Oral Mucositis) ซึ่งสร้างความเจ็บปวดอย่างมากและอาจเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดได้
  • กดการทำงานของไขกระดูก: ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำลงร่างกายมีภูมิต้านทานลดลงจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องปากได้ง่ายขึ้นและอาจทำให้เลือดออกง่ายกว่าปกติ

การดูแลช่องปากที่ดีจึงเปรียบเสมือน “เกราะป้องกัน” ด่านสำคัญที่ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้

ระยะที่ 1: การเตรียมตัวก่อนเริ่มให้ยาเคมีบำบัด

การเตรียมความพร้อมช่องปากให้มีสุขภาพดีที่สุด ก่อน การรักษาจะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้มากที่สุดควรเข้าพบทันตแพทย์ อย่างน้อย 1 เดือน ก่อนเริ่มยาเคมีบำบัดเข็มแรกเพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการรักษาปัญหาต่างๆ

สิ่งที่ต้องทำ:

  1. แจ้งทันตแพทย์: แจ้งทันตแพทย์ว่าท่านกำลังจะเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดพร้อมแจ้งชนิดของโรคมะเร็งและแผนการรักษาจากแพทย์เจ้าของไข้
  2. ตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด: ทันตแพทย์จะทำการตรวจฟันเหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปากทั้งหมดรวมถึงการถ่ายภาพรังสี (X-ray) เพื่อประเมินสภาพช่องปากโดยรวม
  3. เคลียร์ช่องปากให้พร้อม:
    • ขูดหินปูนและทำความสะอาดฟัน: เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และลดการอักเสบของเหงือก
    • อุดฟันผุ: รักษาฟันที่ผุทั้งหมดเพื่อกำจัดแหล่งเชื้อโรค
    • รักษารากฟัน: หากมีฟันที่ติดเชื้อในโพรงประสาทฟันจำเป็นต้องรักษารากฟันให้เสร็จสิ้น
    • ถอนฟันที่ไม่สามารถเก็บไว้ได้: ฟันที่เป็นหนองฟันโยกมากฟันคุดที่มีการติดเชื้อหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาควรถูกถอนออก โดยแผลถอนฟันต้องหายสนิทดีอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเริ่มให้ยาเคมีบำบัด
    • จัดการปัญหาอื่นๆ: เช่นขอบฟันหรือเครื่องมือจัดฟันที่คมจนอาจทิ่มแทงกระพุ้งแก้ม
  4. รับคำแนะนำในการดูแลช่องปาก: ทันตแพทย์จะแนะนำวิธีแปรงฟันการใช้ไหมขัดฟันและน้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสมกับสภาวะของท่าน

ข้อควรรู้: การลงทุนเวลาเพื่อเคลียร์ช่องปากให้เรียบร้อยก่อนการรักษาคือการป้องกันปัญหาที่คุ้มค่าที่สุดเพราะเมื่อเริ่มให้ยาเคมีบำบัดแล้วการทำหัตถการทางทันตกรรมส่วนใหญ่จะมีความเสี่ยงสูงและทำได้ยาก

ระยะที่ 2: การดูแลช่องปากระหว่างรับยาเคมีบำบัด

ช่วงเวลานี้คือช่วงที่ต้องใส่ใจดูแลช่องปากเป็นพิเศษทุกวันเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

กิจวัตรการดูแลช่องปากประจำวัน

  • แปรงฟันอย่างนุ่มนวล:
    • เวลา: แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหารและก่อนนอน (อย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง)
    • แปรงสีฟัน: ใช้แปรงสีฟันที่มี ขนนุ่มพิเศษ (Extra Soft) หัวแปรงขนาดเล็กเพื่อเข้าถึงทุกซอกมุม
    • ยาสีฟัน: ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ แต่ ไม่มีรสจัด หรือสารที่ก่อให้เกิดฟองมาก (เช่น Sodium Lauryl Sulfate – SLS) ซึ่งอาจทำให้แสบปากได้อาจเลือกใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กหรือยาสีฟันสูตรอ่อนโยน
    • วิธีแปรง: แปรงอย่างเบามือและนุ่มนวลที่สุดหากรู้สึกเจ็บให้นำแปรงไปแช่ในน้ำอุ่นก่อนใช้เพื่อให้ขนนิ่มลง
  • ทำความสะอาดซอกฟัน:
    • ไหมขัดฟัน: ใช้ไหมขัดฟันอย่างระมัดระวัง วันละ 1 ครั้ง หากเหงือกมีเลือดออกง่ายให้ลองใช้ไหมขัดฟันชนิดเคลือบแวกซ์ (Waxed floss) หรือแปรงซอกฟันขนาดเล็กที่สุดอย่างเบามือ
    • ปรึกษาแพทย์: หากมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำมาก (Thrombocytopenia) ควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์ก่อนการใช้ไหมขัดฟันอาจต้องงดใช้ชั่วคราว
  • บ้วนปากบ่อยๆ:
    • ความถี่: บ้วนปากทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อรักษาความชุ่มชื้นและกำจัดเศษอาหาร
    • น้ำยาบ้วนปากที่แนะนำ:
      • น้ำเกลืออุ่นๆ: ผสมเกลือ 1/2 – 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว (ประมาณ 240 มล.) เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดปลอดภัยและช่วยสมานแผล
      • น้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน: เลือกสูตรที่ ปราศจากแอลกอฮอล์ และไม่มีรสเผ็ดร้อน
    • สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง: ห้ามใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ปากแห้งและแสบระคายเคืองมากขึ้น
  • ดูแลริมฝีปาก:
    • ทาลิปบาล์มวาสลีนหรือผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นสำหรับริมฝีปากที่ไม่มีสารก่อให้เกิดการระคายเคืองอยู่เสมอเพื่อป้องกันริมฝีปากแห้งแตก

การจัดการกับภาวะแทรกซ้อนในช่องปากที่พบบ่อย

  1. ภาวะปากแห้ง (Xerostomia):
    • จิบน้ำบ่อยๆ: พกขวดน้ำติดตัวและจิบตลอดทั้งวัน
    • อมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ: หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง/ลูกอมที่ ปราศจากน้ำตาล เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย
    • ใช้น้ำลายเทียม (Artificial Saliva): มีทั้งรูปแบบสเปรย์และเจลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
    • หลีกเลี่ยง: เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (ชา กาแฟ) แอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่เพราะจะทำให้ปากแห้งยิ่งขึ้น
    • เปิดเครื่องทำความชื้นในอากาศ (Humidifier) ในห้องนอนเวลากลางคืน
  2. ภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบและแผลในปาก (Oral Mucositis):
    • แจ้งให้ทีมแพทย์ทราบทันที: เมื่อเริ่มมีอาการเจ็บแสบหรือพบแผลในปากแพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดยาชาเฉพาะที่หรือยาทาเพื่อบรรเทาอาการและป้องกันการติดเชื้อ
    • รับประทานอาหารอ่อน: เลือกอาหารที่อ่อนนุ่มเคี้ยวง่ายและไม่ต้องปรุงรสจัดเช่นโจ๊กข้าวต้มซุปครีมมันบดกล้วยสุกโยเกิร์ต
    • หลีกเลี่ยงอาหาร: รสจัด (เผ็ดเปรี้ยวเค็ม) อาหารร้อนจัดอาหารแข็งกรอบหรือมีคม (เช่นขนมปังกรอบถั่ว)
    • ใช้หลอดดูด: หากการดื่มจากแก้วทำให้เจ็บแผล
    • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆ: ช่วยทำความสะอาดและลดการอักเสบ
  3. การรับรสเปลี่ยนไป (Taste Alterations):
    • ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าอาหารมีรสขมหรือรสโลหะ
    • ลองใชช้อนส้อมพลาสติก แทนช้อนส้อมโลหะ
    • เพิ่มรสชาติอาหาร ด้วยสมุนไพรที่ไม่เผ็ดร้อนเช่นออริกาโนเบซิล
    • รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย (หากไม่มีแผลในปาก) เช่นส้มมะนาวอาจช่วยกลบรสโลหะได้
    • รักษาความสะอาดช่องปาก อย่างดีจะช่วยลดปัญหานี้ได้
  4. การติดเชื้อราในช่องปาก (Oral Candidiasis / Thrush):
    • สังเกตอาการ: จะเห็นเป็นคราบขาวคล้ายนมที่ขูดออกได้ยากบนลิ้นกระพุ้งแก้มหรือเพดานปากอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วย
    • รีบแจ้งแพทย์: แพทย์จะสั่งยาต้านเชื้อราในรูปแบบยาทาหรือยารับประทานเพื่อรักษา
  5. เลือดออกง่าย:
    • เกิดจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
    • ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มพิเศษ และแปรงอย่างเบามือที่สุด
    • งดใช้ไม้จิ้มฟันหรือไหมขัดฟัน หากแพทย์สั่ง
    • หากมีเลือดไหลไม่หยุดให้ใช้ผ้าก๊อซสะอาดชุบน้ำเย็นกดบริเวณที่เลือดออกไว้เบาๆและรีบแจ้งให้ทีมแพทย์ทราบ

ระยะที่ 3: การดูแลช่องปากหลังสิ้นสุดการให้ยาเคมีบำบัด

แม้การรักษาจะสิ้นสุดลงแล้วผลข้างเคียงในช่องปากอาจยังคงอยู่ระยะหนึ่งหรืออาจเกิดปัญหาในระยะยาวได้ดังนั้นการดูแลอย่างต่อเนื่องจึงยังคงสำคัญ

สิ่งที่ต้องทำ:

  1. ดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างต่อเนื่อง: ปฏิบัติตามคำแนะนำในช่วงระหว่างการรักษาต่อไปจนกว่าสภาวะในช่องปากจะกลับสู่ภาวะปกติ (เยื่อบุช่องปากหายดีน้ำลายกลับมาเป็นปกติ)
  2. กลับไปพบทันตแพทย์: หลังจากค่าเลือดต่างๆกลับสู่ภาวะปกติแล้วควรกลับไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินสุขภาพช่องปากอีกครั้งซึ่งทันตแพทย์จะ:
    • ตรวจหาฟันผุรอยโรคหรือปัญหาอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการรักษา
    • ให้การรักษาทางทันตกรรมที่จำเป็นต่อไป
    • แนะนำโปรแกรมการดูแลป้องกันในระยะยาวเช่นการใช้ฟลูออไรด์ความเข้มข้นสูงเพื่อป้องกันฟันผุจากภาวะปากแห้งเรื้อรัง
  3. สังเกตอาการระยะยาว: ผลข้างเคียงบางอย่างเช่นปากแห้งอาจคงอยู่เป็นเวลานานจำเป็นต้องดูแลและจัดการกับอาการอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากในอนาคต

บทสรุป: หัวใจสำคัญของการดูแลช่องปากสำหรับผู้ป่วยเคมีบำบัด

การเดินทางผ่านการรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายทั้งร่างกายและจิตใจแต่อย่ามองข้าม “ช่องปาก” ซึ่งเป็นประตูสู่สุขภาพกายโดยรวม

จำหลักการสำคัญ 4 ประการ:

  1. เตรียมพร้อม: พบทันตแพทย์เพื่อเคลียร์ช่องปากให้พร้อมที่สุด ก่อน เริ่มการรักษา
  2. อ่อนโยนและสม่ำเสมอ: แปรงฟันและบ้วนปากอย่างถูกวิธีด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ทุกวัน
  3. ชุ่มชื้นอยู่เสมอ: จิบน้ำบ่อยๆและใช้น้ำลายเทียมเพื่อต่อสู้กับภาวะปากแห้ง
  4. สื่อสารกับทีมแพทย์: อย่าลังเล ที่จะแจ้งให้แพทย์พยาบาลและทันตแพทย์ทราบถึงปัญหาในช่องปากที่เกิดขึ้นทันที

การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีที่สุดไม่เพียงแต่ช่วยให้ท่านรู้สึกสบายขึ้นแต่ยังช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจขัดขวางแผนการรักษาโรคมะเร็งได้ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกท่านมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงและผ่านพ้นการรักษาไปได้ด้วยดี

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 20 ข้อ พร้อมคำตอบ

  1. Q: ทำไมต้องไปหาหมอฟันก่อนเริ่มคีโม? A: เพื่อตรวจและรักษาปัญหาในช่องปากทั้งหมดเช่นฟันผุโรคเหงือกฟันคุดให้เรียบร้อยเสียก่อนเป็นการกำจัดแหล่งเชื้อโรคที่อาจก่อปัญหารุนแรงในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอจากยาเคมีบำบัด
  2. Q: ถ้าไม่ได้ไปหาหมอฟันก่อนคีโมจะทำอย่างไร? A: ให้รีบแจ้งทีมแพทย์ผู้รักษาและพยายามดูแลความสะอาดช่องปากให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้หากเกิดปัญหาให้รีบปรึกษาแพทย์ทันทีซึ่งอาจมีการปรึกษาทันตแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาตามความจำเป็นและความเสี่ยง
  3. Q: จำเป็นต้องเปลี่ยนแปรงสีฟันบ่อยแค่ไหน? A: ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 1-3 เดือนหรือเมื่อขนแปรงเริ่มบานอย่างไรก็ตามในช่วงที่ภูมิต้านทานต่ำมากอาจพิจารณาเปลี่ยนแปรงบ่อยขึ้นเพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
  4. Q: ใช้ยาสีฟันสมุนไพรหรือยาสีฟันฟอกฟันขาวได้หรือไม่? A: ไม่แนะนำครับยาสีฟันเหล่านี้มักมีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือมีผงขัดที่หยาบเกินไปอาจทำให้แสบปากและทำลายผิวฟันได้ควรเลือกใช้ยาสีฟันสูตรอ่อนโยนที่มีฟลูออไรด์
  5. Q: ปากแห้งมากทำอย่างไรให้นอนหลับได้? A: จิบน้ำก่อนนอนทาวาสลีนที่ริมฝีปากวางแก้วน้ำไว้ข้างเตียงเพื่อจิบระหว่างคืนและอาจเปิดเครื่องทำความชื้นในอากาศในห้องนอนจะช่วยบรรเทาอาการได้ดี
  6. Q: มีแผลในปากเจ็บมากจนกินอะไรไม่ได้เลยทำอย่างไร? A: แจ้งแพทย์ทันทีแพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดชนิดรับประทานยาชาเฉพาะที่แบบบ้วนหรือป้ายปากในระหว่างนี้ให้รับประทานอาหารเหลวหรืออาหารปั่นที่เย็นและไม่มีรสจัด
  7. Q: อมน้ำแข็งบ่อยๆจะเป็นอะไรไหม? A: การอมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ (Ice chips) สามารถช่วยลดอาการปากแห้งและบรรเทาอาการเจ็บจากเยื่อบุช่องปากอักเสบได้แต่ ห้ามเคี้ยวน้ำแข็ง เพราะอาจทำให้ฟันแตกได้
  8. Q: ถ้าใส่ฟันปลอมอยู่ต้องทำอย่างไร? A: รักษาความสะอาดฟันปลอมเป็นอย่างดีถอดออกมาแช่ในน้ำยาสำหรับแช่ฟันปลอมทุกคืนหากฟันปลอมหลวมหรือไม่พอดีทำให้เกิดแผลควรงดใส่ชั่วคราวและปรึกษาทันตแพทย์
  9. Q: รับรสชาติไม่ได้เลยจะกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่? A: อาการรับรสเปลี่ยนไปเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวมักจะค่อยๆดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติภายใน 2-3 เดือนหลังสิ้นสุดการรักษาด้วยเคมีบำบัด
  10. Q: เลือดออกตอนแปรงฟันน่ากลัวมากควรหยุดแปรงฟันไหม? A: ห้ามหยุดแปรงฟัน เพราะจะทำให้เชื้อโรคสะสมและเหงือกอักเสบมากขึ้นให้เปลี่ยนไปใช้แปรงสีฟันขนนุ่มพิเศษและแปรงอย่างเบามือที่สุดหากเลือดออกเยอะมากหรือไหลไม่หยุดให้รีบปรึกษาแพทย์
  11. Q: จำเป็นต้องขูดหินปูนระหว่างรับคีโมหรือไม่? A: โดยทั่วไปจะไม่ทำการขูดหินปูนระหว่างรับคีโมเนื่องจากมีความเสี่ยงเลือดออกและติดเชื้อสูงควรกระทำก่อนเริ่มการรักษาเท่านั้น
  12. Q: หลังจบคีโมแล้วจะจัดฟันต่อได้เมื่อไหร่? A: ควรปรึกษาทั้งแพทย์ผู้รักษาและทันตแพทย์จัดฟันโดยทั่วไปจะรอจนกว่าสุขภาพโดยรวมและค่าเลือดกลับสู่ภาวะปกติสมบูรณ์ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนหลังสิ้นสุดการรักษา
  13. Q: น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อที่มีขายทั่วไปใช้ได้ไหม? A: ไม่แนะนำให้ใช้โดยเฉพาะสูตรที่มีแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้แสบและปากแห้งมากขึ้นควรใช้แค่น้ำเกลืออุ่นๆหรือน้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยนตามที่ทันตแพทย์แนะนำ
  14. Q: ต้องทำอย่างไรเมื่อรู้สึกคลื่นไส้และอาเจียน? A: หลังอาเจียนให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำเกลือทันทีเพื่อชะล้างกรดออกจากผิวฟัน อย่าเพิ่งแปรงฟันทันที ควรรออย่างน้อย 30 นาทีเพราะกรดในกระเพาะจะทำให้ผิวฟันอ่อนตัวการแปรงฟันทันทีจะทำให้ฟันสึกมากขึ้น
  15. Q: เด็กที่รับคีโมต้องดูแลช่องปากเหมือนผู้ใหญ่หรือไม่? A: หลักการคล้ายกันแต่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษเพราะเด็กอาจไม่สามารถบอกอาการได้ดีผู้ปกครองต้องช่วยดูแลความสะอาดและสังเกตแผลในปากอย่างสม่ำเสมอควรใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กที่มีฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย
  16. Q: การรักษาด้วยการฉายรังสี (ฉายแสง) บริเวณศีรษะและลำคอต้องดูแลช่องปากเหมือนกันไหม? A: การดูแลจะคล้ายกันแต่ผู้ป่วยที่ฉายแสงบริเวณศีรษะและลำคอจะพบภาวะปากแห้งรุนแรงและถาวรมากกว่ามีความเสี่ยงต่อฟันผุสูงมากและอาจเกิดภาวะกระดูกขากรรไกรตายจากการฉายรังสี (Osteoradionecrosis) ซึ่งต้องได้รับการดูแลจากทันตแพทย์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องในระยะยาว
  17. Q: หลังคีโมมีอาการปวดฟันสามารถถอนฟันได้เลยหรือไม่? A: ไม่สามารถทำได้ทันทีต้องรอให้ค่าเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติและปลอดภัยก่อนโดยต้องได้รับอนุญาตจากแพทย์ผู้รักษาก่อนทำหัตถการใดๆ
  18. Q: ถ้าสังเกตเห็นฝ้าขาวๆในปากควรทำอย่างไร? A: ให้ลองใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเช็ดเบาๆถ้าเช็ดออกง่ายอาจเป็นคราบนมหรือเศษอาหารแต่ถ้าเช็ดไม่ออกมีลักษณะเป็นปื้นขาวหรือมีอาการเจ็บร่วมด้วยอาจเป็นการติดเชื้อราควรรีบแจ้งแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา
  19. Q: สามารถทานวิตามินเสริมเพื่อบำรุงสุขภาพช่องปากได้หรือไม่? A: ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อนรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมทุกชนิดเพราะผลิตภัณฑ์บางอย่างอาจมีผลต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดได้
  20. Q: มีวิธีป้องกันภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบ (แผลในปาก) ที่ได้ผล 100% หรือไม่? A: ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล 100% แต่การดูแลความสะอาดช่องปากอย่างดีเยี่ยมการบ้วนปากบ่อยๆและ การอมน้ำแข็ง (Cryotherapy) ประมาณ 30 นาทีก่อนระหว่างและหลังการให้ยาเคมีบำบัดบางชนิด (ที่มีค่าครึ่งชีวิตสั้น) สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการได้อย่างมีนัยสำคัญควรปรึกษาทีมแพทย์ว่าวิธีนี้เหมาะสมกับยาที่ท่านได้รับหรือไม่

การเดินทางต่อสู้กับโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัดเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายทั้งร่างกายและจิตใจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น สุขภาพช่องปากอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วกลับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดและส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและแผนการรักษาโดยรวม

ภาวะแทรกซ้อนในช่องปาก ตั้งแต่ปากแห้ง แผลอักเสบเจ็บปวด ไปจนถึงการติดเชื้อรุนแรง ไม่เพียงแต่สร้างความทุกข์ทรมานและทำให้รับประทานอาหารได้ลำบาก แต่ยังอาจเป็นประตูให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและอาจทำให้ต้องเลื่อนการรักษาโรคมะเร็งออกไป

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันและบรรเทาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธี

หัวใจสำคัญที่ต้องจดจำ จากคู่มือฉบับนี้สรุปได้เป็น 4 หลักการง่ายๆ คือ:

  1. เตรียมพร้อมให้ดีที่สุด: การเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและ “เคลียร์ช่องปาก” ให้มีสุขภาพดีที่สุด ก่อน เริ่มต้นยาเคมีบำบัด คือการลงทุนด้านเวลาที่คุ้มค่าที่สุดและเป็นก้าวแรกในการป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด
  2. ดูแลอย่างอ่อนโยนและสม่ำเสมอ: ในระหว่างการรักษา ให้ยึดหลัก สะอาด ชุ่มชื้น และอ่อนโยน” แปรงฟันด้วยแปรงขนนุ่มพิเศษ บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆ และให้ความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากและช่องปากอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
  3. รับมืออย่างเข้าใจ: เมื่อเกิดอาการผิดปกติ เช่น ปากแห้ง เจ็บแผล หรือรับรสเพี้ยนไป ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในการจัดการอาการเบื้องต้น เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
  4. สื่อสารกับทีมแพทย์เสมอ: ท่านไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง อย่าลังเลที่จะแจ้งให้ทีมแพทย์ พยาบาล หรือทันตแพทย์ทราบทันที เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นในช่องปาก การได้รับคำปรึกษาและการรักษาที่ทันท่วงทีคือสิ่งสำคัญที่สุด

การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีเยี่ยมในช่วงรับเคมีบำบัดไม่ใช่ภาระ แต่คือส่วนหนึ่งของการดูแลตนเอง (Self-care) ที่ทรงพลัง เป็นการสร้างเกราะป้องกันด่านสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงพอที่จะรับการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ท่านยังคงมีความสุขกับการรับประทานอาหาร และที่สำคัญที่สุด คือการช่วยให้ท่านผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างราบรื่นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลทุกท่านสามารถก้าวผ่านการรักษาไปได้ด้วยดี พร้อมกับรอยยิ้มและสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง

ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมเครือ สกายเทรนเด็นทอลกรุ๊ป ทั้ง 14 สาขา

 

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *