ผู้ป่วยโรคไตและผู้ที่อยู่ระหว่างการล้างไต

คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากฉบับสมบูรณ์: สำหรับผู้ป่วยโรคไตและผู้ที่อยู่ระหว่างการล้างไต

การดูแลสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยโรคไตนั้นมีความซับซ้อนและต้องใส่ใจในหลายมิติ “สุขภาพช่องปาก” ก็เป็นหนึ่งในมิติที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ซึ่งมักถูกมองข้ามไป แต่แท้จริงแล้วมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ในฐานะทันตแพทย์ ผมเข้าใจถึงความท้าทายที่ท่านต้องเผชิญ คู่มือฉบับนี้จึงถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้ท่านสามารถดูแลสุขภาพช่องปากของตนเองได้อย่างดีที่สุด อันจะนำไปสู่สุขภาพกายและใจที่แข็งแรงขึ้น

ทำไมสุขภาพช่องปากจึงสำคัญเป็นพิเศษสำหรับผู้ป่วยโรคไต?

ไตมีหน้าที่สำคัญในการกรองของเสียออกจากเลือด รักษาสมดุลของเหลวและแร่ธาตุในร่างกาย เมื่อไตทำงานบกพร่อง จะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมถึง “ช่องปาก” ของเราด้วย เหตุผลสำคัญคือ:

  1. ความเชื่อมโยงของการอักเสบ: โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์อักเสบ (รำมะนาด) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียเรื้อรังในช่องปาก การอักเสบนี้สามารถส่งผลกระทบต่อทั่วร่างกาย และอาจทำให้การควบคุมโรคไตทำได้ยากขึ้น
  2. ความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง: ผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะผู้ที่ล้างไตหรือรอการปลูกถ่ายไต จะมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนปกติ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย การมีแหล่งเชื้อโรคในช่องปาก เช่น ฟันผุลึก หรือถุงหนองที่ปลายรากฟัน จึงเป็นความเสี่ยงร้ายแรง
  3. เงื่อนไขก่อนการปลูกถ่ายไต: ก่อนการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยจะต้องผ่านการตรวจ “เคลียร์ช่องปาก” เพื่อกำจัดแหล่งติดเชื้อทั้งหมดให้หมดไป เพราะหลังการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะทำให้การติดเชื้อเพียงเล็กน้อยลุกลามได้อย่างรวดเร็ว

ปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไต

ภาวะไตวายเรื้อรังและการล้างไต สามารถก่อให้เกิดปัญหาในช่องปากที่แตกต่างจากคนทั่วไปได้ ดังนี้

  • ภาวะปากแห้ง (Xerostomia): เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการจำกัดปริมาณน้ำดื่ม และผลข้างเคียงของยาหลายชนิด เมื่อปากแห้ง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุ, โรคเหงือก, การติดเชื้อรา (Candidiasis) และทำให้รู้สึกไม่สบายช่องปาก
  • รับรสผิดปกติ (Dysgeusia) และมีรสโลหะในปาก: เกิดจากของเสีย (ยูเรีย) คั่งในเลือดและน้ำลาย ทำให้รู้สึกเหมือนมีรสโลหะหรือรสขมในปากตลอดเวลา ส่งผลให้เบื่ออาหารและรับประทานได้น้อยลง
  • กลิ่นปากจากภาวะยูรีเมีย (Uremic Fetor): เมื่อยูเรียในน้ำลายถูกแบคทีเรียย่อยสลาย จะเกิดเป็นแอมโมเนีย ทำให้ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายแอมโมเนียหรือปัสสาวะ
  • โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) และโรคปริทันต์ (Periodontitis): เลือดออกตามไรฟันได้ง่าย เหงือกบวมแดง เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ลดลง และการสะสมของคราบจุลินทรีย์ที่ง่ายขึ้นจากภาวะปากแห้ง
  • แผลในช่องปาก (Uremic Stomatitis): อาจพบแผ่นฝ้าขาวหนา หรือรอยแดงอักเสบบนเยื่อบุช่องปาก ทำให้เจ็บปวดและรับประทานอาหารลำบาก
  • การเปลี่ยนแปลงของกระดูกขากรรไกร (Renal Osteodystrophy): โรคไตส่งผลต่อสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย ทำให้กระดูกขากรรไกรบางลง ฟันอาจโยกคลอนได้ง่าย และอาจส่งผลต่อการหายของแผลหลังถอนฟัน
  • การสะสมของหินปูนและคราบจุลินทรีย์เพิ่มขึ้น: การเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบในน้ำลายทำให้หินปูนก่อตัวได้เร็วกว่าปกติ

แนวทางการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง (Self-Care Guide)

การดูแลช่องปากอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี คือหัวใจสำคัญในการป้องกันปัญหาต่างๆ

การดูแลประจำวัน

  1. การแปรงฟัน:
    • แปรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) หรือหลังอาหารทุกมื้อถ้าทำได้
    • เลือกใช้แปรงสีฟันขนนุ่มพิเศษ (Extra Soft) เพื่อลดการระคายเคืองต่อเหงือกที่บอบบาง
    • ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เพื่อป้องกันฟันผุ
    • แปรงอย่างเบามือและถูกวิธี: วางขนแปรงทำมุม 45 องศากับขอบเหงือก ขยับและหมุนเบาๆ และปัดลง (ฟันบน) หรือปัดขึ้น (ฟันล่าง) แปรงให้ทั่วทุกซี่ ทุกด้าน
  2. การทำความสะอาดซอกฟัน:
    • ใช้ไหมขัดฟัน (Dental Floss) ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้งก่อนนอน เพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ระหว่างซี่ฟันซึ่งแปรงสีฟันเข้าไม่ถึง
    • หากใช้ไหมขัดฟันลำบาก สามารถใช้ แปรงซอกฟัน (Interdental Brush) หรือ ไหมขัดฟันแบบมีด้าม (Floss Pick) ทดแทนได้
  3. การใช้น้ำยาบ้วนปาก:
    • เลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ปากแห้งยิ่งขึ้น
    • การใช้น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์เสริม สามารถช่วยป้องกันฟันผุได้ดี

การจัดการกับภาวะปากแห้ง

  • จิบน้ำบ่อยๆ: จิบน้ำสะอาดตามปริมาณที่แพทย์โรคไตอนุญาตตลอดวัน
  • อมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบรรเทาอาการ
  • เคี้ยวหมากฝรั่งหรือลูกอมที่ไม่มีน้ำตาล: เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย (เลือกชนิดที่มีไซลิทอล (Xylitol) เป็นส่วนประกอบ)
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์: เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้ง
  • งดสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้ปากแห้งและทำลายสุขภาพเหงือกอย่างรุนแรง
  • ใช้น้ำลายเทียม (Artificial Saliva): ปรึกษาทันตแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์น้ำลายเทียมในรูปแบบสเปรย์หรือเจล เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นโดยตรง

การดูแลด้านโภชนาการ

  • จำกัดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง: เพื่อลดความเสี่ยงของฟันผุ
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของนักโภชนาการ เกี่ยวกับการควบคุมฟอสฟอรัสและแคลเซียม ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพกระดูกขากรรไกรและฟัน

การพบทันตแพทย์: สิ่งที่ต้องรู้และเตรียมตัว

การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย แพทย์โรคไต และทันตแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัยสูงสุด การไปพบทันตแพทย์ของผู้ป่วยโรคไตจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวและสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่าคนทั่วไป เพื่อให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาวะร่างกายของท่านมากที่สุด โปรดใช้เช็กลิสต์นี้เพื่อเตรียมความพร้อมในทุกขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1: ขณะโทรศัพท์นัดหมาย

เมื่อท่านโทรศัพท์เพื่อทำการนัดหมาย สิ่งแรกที่ต้องแจ้ง กับเจ้าหน้าที่受付คือ:

  • “ดิฉัน/ผมเป็นผู้ป่วยโรคไต” พร้อมระบุประเภทการรักษาของท่านให้ชัดเจน:
    • “กำลังฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis)”
    • “กำลังล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)”
    • “อยู่ในช่วงรอการปลูกถ่ายไต”
    • “เคยได้รับการปลูกถ่ายไตแล้ว”
  • สำหรับผู้ป่วยที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม:
    • เลือกวันนัดหมายที่เหมาะสมที่สุด: คือ “วันถัดจากวันที่ท่านฟอกเลือด”
    • เหตุผลสำคัญ:
      1. เลือดหยุดไหลง่าย: ในวันฟอกเลือด ท่านจะได้รับยาป้องกันเลือดแข็งตัว (เฮพาริน) ซึ่งจะยังคงมีฤทธิ์อยู่ ทำให้หากมีหัตถการที่เลือดออก เลือดจะหยุดได้ยากกว่าปกติ
      2. ร่างกายพร้อมกว่า: ท่านจะรู้สึกสดชื่นและมีแรงมากกว่า ไม่เหนื่อยล้าเท่าในวันฟอกเลือด

ขั้นตอนที่ 2: การเตรียมตัวก่อนถึงวันนัด

ก่อนเดินทางไปพบทันตแพทย์ ให้เตรียมข้อมูลสำคัญเหล่านี้ใส่แฟ้มหรือกระเป๋าไว้ให้พร้อม:

  • เตรียมรายการยาทั้งหมด:
    • จดรายชื่อยา วิตามิน และสมุนไพรทั้งหมดที่ท่านรับประทานเป็นประจำ พร้อมขนาดยา
    • วิธีที่ดีที่สุด: นำซองยาหรือตัวยาจริงทั้งหมดไปให้ทันตแพทย์ดู เพื่อข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน
  • เตรียมข้อมูลทีมแพทย์ของท่าน:
    • จดชื่อ-นามสกุล และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของ แพทย์โรคไต ที่ดูแลท่านอยู่
    • เพื่อให้ทันตแพทย์สามารถปรึกษาข้อมูลที่จำเป็นเพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็ว
  • เตรียมข้อมูลสุขภาพอื่นๆ:
    • ประวัติการแพ้ยา หรืออาหาร
    • โรคประจำตัวอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน

ขั้นตอนที่ 3: ในวันพบทันตแพทย์

เมื่อท่านอยู่ที่คลินิกและได้พบกับทันตแพทย์ ให้สื่อสารและปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  • ย้ำข้อมูลสำคัญอีกครั้ง:
    • เริ่มต้นด้วยการบอกทันตแพทย์โดยตรงอีกครั้งว่า “เป็นผู้ป่วยโรคไต และรับการรักษาแบบ…” เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลไม่ตกหล่น
  • แจ้งเรื่องแขนข้างที่มีเส้นฟอกเลือด (AV Fistula/Graft):
    • ชี้และแจ้งให้ทันตแพทย์และผู้ช่วยทันตแพทย์ทราบอย่างชัดเจนว่าแขนข้างใดคือข้างที่มีเส้นเลือดสำหรับฟอกไต
    • แขนข้างนั้น “ห้ามวัดความดันโลหิต, ห้ามเจาะเลือด หรือฉีดยาใดๆ เด็ดขาด”
  • เปิดใจพูดคุยและสอบถาม:
    • อย่าลังเลที่จะถามคำถามที่ท่านสงสัย เช่น:
      • “แผนการรักษานี้มีขั้นตอนอย่างไร?”
      • “ยาแก้ปวดหรือยาฆ่าเชื้อตัวไหนที่ปลอดภัยสำหรับผม/ดิฉัน?” (ทันตแพทย์จะเลือกใช้ยาพาราเซตามอลเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAIDs เสมอ แต่การยืนยันอีกครั้งคือสิ่งที่ดี)
      • “หลังการรักษาต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษอย่างไร?”
    • เข้าใจเรื่องยาปฏิชีวนะ:
      • ทันตแพทย์อาจจำเป็นต้องให้ท่านรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนการทำหัตถการบางอย่าง (เช่น ถอนฟัน, ขูดหินปูนลึก) เพื่อป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด นี่เป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างทันตแพทย์และแพทย์โรคไตของท่านเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

การเตรียมตัวและสื่อสารข้อมูลอย่างครบถ้วน คือหัวใจสำคัญที่ทำให้การรักษาทางทันตกรรมของท่านราบรื่นและปลอดภัย ช่วยให้ทันตแพทย์เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ดูแลสุขภาพโดยรวมของท่านได้อย่างเต็มศักยภาพ

ข้อควรระวังในการรักษาทางทันตกรรม

  1. การให้ยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อ (Antibiotic Prophylaxis): ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีเส้นฟอกเลือด (AV shunt/graft) หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องมาก ทันตแพทย์อาจจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะก่อนการทำหัตถการบางอย่าง ทันตแพทย์จะปรึกษากับแพทย์โรคไตของท่าน เพื่อพิจารณาความจำเป็นและเลือกชนิดยาที่เหมาะสม
  2. การเลือกใช้ยาแก้ปวด:
    • ควรหลีกเลี่ยง ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น Ibuprofen, Naproxen, Ponstan) เพราะมีผลเสียต่อไต
    • ยาแก้ปวดที่มักจะปลอดภัยกว่าคือ พาราเซตามอล (Paracetamol) แต่ต้องใช้ในขนาดยาที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  3. การวัดความดันโลหิต: ทันตแพทย์จะวัดความดันโลหิตของท่านก่อนเริ่มการรักษา และ จะไม่วัดความดันโลหิตที่แขนข้างเดียวกับที่มีเส้นฟอกเลือด
  4. การใช้ยาชา: ยาชาเฉพาะที่ที่ใช้ในงานทันตกรรมโดยทั่วไปมีความปลอดภัย แต่ทันตแพทย์จะเลือกใช้และคำนวณปริมาณอย่างระมัดระวัง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) สำหรับผู้ป่วยโรคไต

  1. ทำไมปากฉันถึงแห้งตลอดเวลา?
    • เกิดจากการจำกัดน้ำดื่ม, ผลข้างเคียงของยา, และการเปลี่ยนแปลงของต่อมน้ำลายจากภาวะโรคไต แนะนำให้จิบน้ำบ่อยๆ และใช้วิธีบรรเทาอาการปากแห้งตามคำแนะนำข้างต้น
  2. มีกลิ่นปากคล้ายแอมโมเนีย เกิดจากอะไร?
    • เกิดจากของเสีย (ยูเรีย) ในเลือดสูง ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียในน้ำลาย การควบคุมโรคไตให้ดีขึ้นและการดูแลความสะอาดช่องปากอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดปัญหานี้ได้
  3. ควรไปพบทันตแพทย์บ่อยแค่ไหน?
    • ควรไปตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนทุก 3-6 เดือน หรือบ่อยกว่าคนทั่วไป ขึ้นอยู่กับสภาวะช่องปากของท่าน
  4. ทำไมต้องเคลียร์ช่องปากก่อนปลูกถ่ายไต?
    • เพื่อกำจัดทุกแหล่งการติดเชื้อ (เช่น ฟันผุ, เหงือกอักเสบ, ฝี) เพราะหลังปลูกถ่ายไตต้องกินยากดภูมิ ซึ่งทำให้การติดเชื้อเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องใหญ่และอันตรายถึงชีวิตได้
  5. ไปทำฟันในวันที่ล้างไตได้หรือไม่?
    • ไม่แนะนำอย่างยิ่งครับ ควรนัดทำฟันใน “วันรุ่งขึ้น” หลังจากล้างไต เพราะยาละลายลิ่มเลือดจะหมดฤทธิ์แล้ว และร่างกายท่านจะพร้อมกว่า
  6. ถอนฟันหรือผ่าฟันคุดได้หรือไม่?
    • ทำได้ครับ แต่ต้องมีการวางแผนอย่างดี ทันตแพทย์จะปรึกษาแพทย์โรคไตของท่านก่อนเสมอ อาจต้องมีการให้ยาปฏิชีวนะป้องกัน และต้องทำในวันที่เหมาะสม (วันถัดจากวันล้างไต)
  7. สามารถจัดฟันได้หรือไม่?
    • สามารถทำได้ แต่ต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล สุขภาพเหงือกและกระดูกต้องแข็งแรง และต้องดูแลความสะอาดได้ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ เพราะมีความเสี่ยงต่อเหงือกอักเสบสูง
  8. ทำรากฟันเทียมได้หรือไม่?
    • มีความซับซ้อนสูง ต้องประเมินจากสุขภาพกระดูกขากรรไกร (ซึ่งอาจบางลงจากโรคไต) และสภาวะโดยรวมของผู้ป่วย ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและแพทย์โรคไตต้องวางแผนร่วมกันอย่างใกล้ชิด
  9. เลือดออกตามไรฟันง่ายมาก ควรทำอย่างไร?
    • อย่าหยุดแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันเพราะกลัวเลือดออก! การที่เลือดออกเป็นสัญญาณของเหงือกอักเสบ การทำความสะอาดให้ดียิ่งขึ้นอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้อาการดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นให้รีบพบทันตแพทย์
  10. ปวดฟัน กินยาแก้ปวดอะไรได้บ้าง?
    • ยาที่ปลอดภัยที่สุดเบื้องต้นคือ พาราเซตามอล (Paracetamol) ห้ามซื้อยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น Ibuprofen) กินเองเด็ดขาด และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
  11. จำเป็นต้องแจ้งทันตแพทย์ไหมว่ามีเส้นล้างไตที่แขน?
    • จำเป็นอย่างยิ่งครับ เพื่อที่ทีมทันตแพทย์จะได้หลีกเลี่ยงการวัดความดันโลหิตหรือทำหัตถการใดๆ ที่แขนข้างนั้น
  12. การฟอกสีฟันปลอดภัยหรือไม่?
    • โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่ในผู้ป่วยที่มีเหงือกร่นหรือมีอาการเสียวฟันจากภาวะปากแห้ง อาจทำให้อาการแย่ลงได้ ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อน
  13. การเอกซเรย์ในช่องปากอันตรายไหม?
    • การเอกซเรย์ทางทันตกรรมใช้ปริมาณรังสีน้อยมากและมีความปลอดภัยสูง ปริมาณรังสีจะถูกจำกัดอยู่แค่บริเวณช่องปากเท่านั้น
  14. รู้สึกว่าฟันโยกง่ายขึ้น เกิดจากอะไร?
    • อาจเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก คือ โรคปริทันต์อักเสบ (รำมะนาด) หรือ การเปลี่ยนแปลงของกระดูกขากรรไกรจากภาวะโรคไต (Renal Osteodystrophy) ควรให้ทันตแพทย์ตรวจประเมินโดยละเอียด
  15. สามารถใช้น้ำยาบ้วนปากทั่วไปได้หรือไม่?
    • ควรเลือกสูตรที่ “ไม่มีแอลกอฮอล์” เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ปากแห้ง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ป่วยโรคไต
  16. ถ้าต้องรับยาปฏิชีวนะก่อนทำฟัน แต่แพ้ยาบางกลุ่ม ต้องทำอย่างไร?
    • ต้องแจ้งประวัติการแพ้ยาทั้งหมดให้ทันตแพทย์ทราบโดยละเอียด เพื่อที่ทันตแพทย์และแพทย์โรคไตจะได้เลือกยาปฏิชีวนะกลุ่มอื่นที่ปลอดภัยสำหรับท่าน
  17. การดูแลช่องปากของผู้ป่วยไตที่ใส่ฟันปลอม ควรทำอย่างไร?
    • ถอดฟันปลอมออกมาทำความสะอาดทุกครั้งหลังอาหารและก่อนนอน แช่ในน้ำสะอาดหรือน้ำยาแช่ฟันปลอม ห้ามใส่ฟันปลอมนอนเด็ดขาด และควรให้ทันตแพทย์ตรวจสภาพฟันปลอมและเหงือกใต้ฟันปลอมเป็นประจำ
  18. ภาวะปากแห้งทำให้ใส่ฟันปลอมแล้วเจ็บ ควรทำอย่างไร?
    • ภาวะปากแห้งทำให้ฟันปลอมเสียดสีกับเหงือกได้ง่ายขึ้น การใช้น้ำลายเทียมหรือเจลเพิ่มความชุ่มชื้นทาที่เหงือกก่อนใส่ฟันปลอมอาจช่วยได้ และควรให้ทันตแพทย์ตรวจปรับแก้ไขฟันปลอมให้พอดี
  19. ผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง (PD) ต้องระวังเรื่องช่องปากเหมือนผู้ป่วยฟอกเลือด (HD) หรือไม่?
    • ใช่ครับ แม้จะไม่มีเรื่องของยาเฮพารินและเส้นเลือดโดยตรง แต่ความเสี่ยงในการติดเชื้อ ภาวะปากแห้ง และผลกระทบอื่นๆ จากตัวโรคยังคงเหมือนกัน จึงต้องดูแลช่องปากอย่างดีเยี่ยมเช่นกัน
  20. ถ้ามีปัญหาสุขภาพช่องปากฉุกเฉิน ควรทำอย่างไร?
    • ติดต่อคลินิกทันตกรรมทันที และย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่าท่านเป็นผู้ป่วยโรคไต เพื่อที่ทีมแพทย์จะได้เตรียมการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

บทสรุป: สุขภาพช่องปากที่ดี คือส่วนหนึ่งของสุขภาพกายที่แข็งแรง

การดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้ป่วยโรคไตไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของความสวยงาม แต่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมโรค ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี การใส่ใจดูแลความสะอาดช่องปากด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม และการพบทันตแพทย์เป็นประจำตามคำแนะนำ โดยมีการสื่อสารที่ดีกับทีมแพทย์ผู้รักษา จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ท่านผ่านพ้นความท้าทายของโรคไตไปได้อย่างมีสุขภาพที่แข็งแรงที่สุด

 ทันตแพทย์และแพทย์โรคไต คือทีมเดียวกันที่พร้อมจะดูแลท่าน โปรดอย่าลังเลที่จะปรึกษาเราเมื่อมีข้อสงสัยหรือปัญหาใดๆ

ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมเครือ สกายเทรนเด็นทอลกรุ๊ป ทั้ง 14 สาขา

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *