ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉบับสมบูรณ์

 

ช่องปากคือประตูสู่สุขภาพโดยรวม การดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะท่านที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของความสะอาดหรือความสวยงาม แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพร่างกาย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผู้ดูแลจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเป็น “ผู้พิทักษ์สุขภาพช่องปาก” ให้กับบุคคลอันเป็นที่รัก

คู่มือฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ดูแลมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการละเลยสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทที่ 1: ทำไมการดูแลช่องปากผู้สูงอายุจึงสำคัญอย่างยิ่ง?

สุขภาพช่องปากที่ดีย่อมส่งผลต่อสุขภาพกายและใจที่ดี การละเลยอาจนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงได้แก่:

  • โรคในช่องปาก: เช่น ฟันผุ (โดยเฉพาะบริเวณรากฟัน) โรคเหงือกอักเสบ (เลือดออกง่าย) และโรคปริทันต์อักเสบ (เหงือกร่น ฟันโยก) ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวด เคี้ยวอาหารลำบาก
  • การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ: เชื้อแบคทีเรียในช่องปากสามารถถูกสำลักลงสู่ปอด ทำให้เกิด ปอดอักเสบจากการสำลัก” (Aspiration Pneumonia) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในผู้สูงอายุที่นอนติดเตียง
  • ภาวะขาดสารอาหาร: เมื่อมีอาการเจ็บปวดในช่องปากหรือใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี ผู้สูงอายุจะไม่อยากรับประทานอาหาร เคี้ยวได้ไม่ละเอียด ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอลง
  • โรคทางระบบอื่นๆ: มีหลักฐานทางการแพทย์เชื่อมโยงสุขภาพช่องปากที่ไม่ดีกับโรคหัวใจและหลอดเลือด และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ยากขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน
  • ผลกระทบต่อจิตใจ: กลิ่นปาก ฟันที่ดูไม่สะอาด หรือความเจ็บปวด ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียความมั่นใจ ไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าพูดคุย ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

บทที่ 2: ปัญหาช่องปากที่พบบ่อยในผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

  1. ภาวะปากแห้ง น้ำลายน้อย (Xerostomia): เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุหลักมาจากยาที่รับประทานประจำ (เช่น ยาลดความดัน ยาแก้แพ้ ยาขับปัสสาวะ) การฉายรังสีบริเวณศีรษะและลำคอ หรือโรคประจำตัวบางชนิด น้ำลายมีความสำคัญในการชะล้างเศษอาหาร, ควบคุมเชื้อแบคทีเรีย และช่วยให้เหงือกชุ่มชื้น เมื่อปากแห้งจะเสี่ยงต่อฟันผุและแผลในช่องปากสูงมาก
  2. ฟันผุบริเวณรากฟัน: เมื่ออายุมากขึ้น เหงือกมักจะร่นลง ทำให้ผิวรากฟันโผล่ออกมา ซึ่งผิวรากฟันนี้อ่อนแอกว่าตัวฟัน จึงผุได้ง่ายกว่า
  3. โรคเหงือกและปริทันต์: เกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ ทำให้เหงือกอักเสบ บวมแดง เลือดออกง่าย หากไม่รักษาจะลุกลามทำลายกระดูกรอบรากฟัน ทำให้ฟันโยกและต้องถูกถอนในที่สุด
  4. แผลในช่องปากและเชื้อรา (Candidiasis): พบบ่อยในผู้ที่ปากแห้ง ใส่ฟันปลอมตลอดเวลา หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ จะเห็นเป็นคราบสีขาวคล้ายคราบนมเกาะตามลิ้นและกระพุ้งแก้ม ซึ่งสามารถขูดออกได้และอาจมีอาการเจ็บแสบ
  5. ปัญหาเกี่ยวกับฟันปลอม:
    • ฟันปลอมหลวม: เกิดจากสันเหงือกที่ยุบตัวลงตามกาลเวลา ทำให้เคี้ยวลำบาก เกิดแผลกดทับ และอาจหลุดลงคอได้
    • ฟันปลอมไม่สะอาด: เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ทำให้เกิดกลิ่นปากและเหงือกอักเสบใต้ฐานฟันปลอม

บทที่ 3: อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องเตรียม

การเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมจะช่วยให้การทำความสะอาดรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สำหรับผู้สูงอายุที่มีฟันธรรมชาติ:

  1. แปรงสีฟันขนนุ่มพิเศษ (Extra-soft): หัวแปรงขนาดเล็ก เพื่อเข้าถึงบริเวณต่างๆ ได้ง่าย
  2. ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์: เลือกชนิดที่มีฟองน้อย (Low-foaming) หรือไม่มีฟองเลย เพื่อลดการกระตุ้นให้ผู้สูงอายุอยากบ้วนปาก ซึ่งอาจทำให้สำลักได้
  3. ไหมขัดฟัน หรือ แปรงซอกฟัน: แนะนำให้ใช้ “ด้ามไหมขัดฟัน” (Floss holder) จะสะดวกกว่าการใช้ไหมพันนิ้วมาก หรือใช้ “แปรงซอกฟัน” (Interdental brush) สำหรับบริเวณซอกฟันที่ห่าง
  4. ผ้าก๊อซสะอาด หรือ ผ้าสะอาดนุ่มๆ: สำหรับเช็ดทำความสะอาดเหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ม
  5. แก้วน้ำ 2 ใบ: ใบหนึ่งสำหรับน้ำสะอาด อีกใบสำหรับทิ้งน้ำบ้วน (ถ้าผู้สูงอายุบ้วนได้)
  6. ภาชนะรอง (ชามรูปไต): สำหรับรองน้ำลายหรือน้ำบ้วน
  7. ไฟฉาย: เพื่อช่วยให้มองเห็นในช่องปากได้ชัดเจนขึ้น
  8. ถุงมือสะอาด: เพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้ดูแล

สำหรับผู้สูงอายุที่ใส่ฟันปลอม:

  1. แปรงสำหรับทำความสะอาดฟันปลอมโดยเฉพาะ: ขนแปรงจะแข็งกว่าแปรงสีฟันทั่วไป
  2. น้ำยาทำความสะอาดฟันปลอม หรือ สบู่อ่อนๆ: ห้ามใช้ยาสีฟัน แปรงฟันปลอมเด็ดขาด เพราะมีผงขัดที่ทำให้ฟันปลอมเป็นรอยและเป็นที่สะสมของเชื้อโรค
  3. กล่องแช่ฟันปลอม: พร้อมฝาปิดมิดชิด

บทที่ 4: ขั้นตอนการดูแลช่องปาก (Step-by-Step Guide)

การเตรียมตัวก่อนเริ่ม

  • เลือกเวลาที่เหมาะสม: เวลาที่ผู้สูงอายุสงบ ผ่อนคลาย ไม่หงุดหงิด เช่น หลังอาหารเช้า
  • สื่อสาร: บอกผู้สูงอายุว่าจะทำอะไรอย่างใจเย็น “เดี๋ยวจะช่วยแปรงฟันให้ปากสะอาดสดชื่นนะคะ/ครับ”
  • จัดท่าทาง:
    • ถ้านั่งได้: ให้ผู้สูงอายุนั่งตัวตรง โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย
    • ถ้าต้องนอน: สำคัญมาก! ต้องปรับเตียงให้ศีรษะสูงขึ้นอย่างน้อย 45-60 องศา หรือใช้หมอนหนุนหลังและศีรษะ และให้ผู้สูงอายุ ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันการสำลักน้ำหรือยาสีฟันลงคอ

ส่วนที่ 1: การทำความสะอาดสำหรับผู้มีฟันธรรมชาติ

  1. สำรวจช่องปาก: สวมถุงมือ ใช้ไฟฉายส่องดูความผิดปกติเบื้องต้น เช่น แผล, เหงือกบวมแดง, ฟันโยก, คราบขาว
  2. ทำความสะอาดซอกฟันก่อน: ใช้ด้ามไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน ทำความสะอาดระหว่างซี่ฟันอย่างเบามือ
  3. แปรงฟัน:
    • บีบยาสีฟันปริมาณน้อยเท่าเมล็ดถั่วเขียว
    • วางขนแปรงทำมุม 45 องศากับขอบเหงือก
    • ขยับแปรงเบาๆ เป็นวงกลมสั้นๆ ไป-มา ทีละ 2-3 ซี่
    • แปรงให้ครบทุกด้าน: ด้านนอก, ด้านใน, และด้านบดเคี้ยว
    • สำหรับด้านในของฟันหน้า ให้วางแปรงในแนวตั้งแล้วขยับขึ้นลง
  4. การจัดการกับน้ำลายและฟอง: ใช้ผ้าก๊อซซับน้ำลายและฟองออกจากมุมปากเป็นระยะ ไม่จำเป็นต้องบ้วนปากทิ้งทั้งหมด การมียาสีฟันฟลูออไรด์เคลือบฟันไว้เล็กน้อยจะช่วยป้องกันฟันผุได้ดี (เรียกว่า Spit, Don’t Rinse)
  5. ทำความสะอาดลิ้นและเนื้อเยื่ออื่นๆ:
    • ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มหรือผ้าก๊อซชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดที่ “ลิ้น” เบาๆ จากโคนลิ้นมาปลายลิ้น เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปาก
    • ใช้ผ้าก๊อซสะอาดเช็ดเบาๆ บริเวณ “กระพุ้งแก้ม” และ “เพดานปาก”

ส่วนที่ 2: การดูแลสำหรับผู้ที่ใส่ฟันปลอม

ต้องทำความสะอาดทั้ง “ฟันปลอม” และ “ช่องปาก” ทุกวัน

  1. ถอดฟันปลอม:
    • ค่อยๆ ขยับฟันปลอมเบาๆ เพื่อให้ลมเข้าไป
    • สำหรับฟันบน ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือดันบริเวณฐานฟันปลอมด้านหน้าให้หลุดออก
    • สำหรับฟันล่าง ให้ค่อยๆ โยกซ้ายขวาแล้วดึงขึ้นตรงๆ
    • ข้อควรระวัง: ขณะถอดหรือล้าง ควรทำเหนืออ่างล้างหน้าที่มีผ้าขนหนูรองไว้ หรือมีน้ำขังอยู่ เพื่อป้องกันฟันปลอมตกแตก
  2. ทำความสะอาดฟันปลอม:
    • ใช้แปรงสำหรับฟันปลอมกับสบู่อ่อนๆ หรือเม็ดฟู่ทำความสะอาด แปรงให้ทั่วทุกพื้นผิว โดยเฉพาะบริเวณซอกที่ติดกับเหงือก
    • ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดจด
  3. ทำความสะอาดช่องปาก (ขณะไม่มีฟันปลอม):
    • ใช้ผ้าก๊อซนุ่มๆ หรือแปรงขนนุ่ม ชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดสันเหงือก เพดานปาก กระพุ้งแก้ม และลิ้น เพื่อเป็นการนวดเหงือกและขจัดคราบจุลินทรีย์
  4. แช่ฟันปลอม:
    • สำคัญมาก! ถอดฟันปลอมแช่น้ำสะอาดในภาชนะที่มีฝาปิด อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน (ช่วงกลางคืน) เพื่อให้เหงือกได้พักและลดการสะสมของเชื้อโรค

บทที่ 5: การรับมือกับผู้สูงอายุที่ไม่ให้ความร่วมมือ

  • เทคนิค Tell-Show-Do: บอกว่าจะทำอะไร (Tell), ทำให้ดูบนมือของตัวเอง (Show), แล้วค่อยๆ ทำในปากของผู้สูงอายุ (Do)
  • ทำให้เป็นกิจวัตร: ทำในเวลาเดิมๆ ทุกวัน จะช่วยให้ผู้สูงอายุคุ้นเคย
  • สร้างบรรยากาศผ่อนคลาย: เปิดเพลงที่ท่านชอบ พูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
  • ใช้คนช่วย: หากผู้สูงอายุต่อต้านมาก อาจต้องใช้ผู้ดูแล 2 คน คนหนึ่งช่วยประคองและเบี่ยงเบนความสนใจ อีกคนทำความสะอาด
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยเปิดปาก: ในกรณีที่ผู้สูงอายุเม้มปากแน่น อาจใช้ไม้กดลิ้นที่พันผ้าก๊อซ หรือด้ามแปรงสีฟัน สอดเข้าที่มุมปากด้านในหลังฟันกรามสุดท้าย จะช่วยให้ปากอ้าออกได้ง่ายขึ้น

บทที่ 6: สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาทันตแพทย์

  • มีอาการเจ็บปวดในช่องปาก หรือแสดงอาการเจ็บเมื่อสัมผัส
  • เหงือกบวม แดง มีหนอง หรือเลือดออกง่ายผิดปกติ
  • ฟันโยก หรือมีฟันแตกหัก
  • มีแผลในปากที่ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์
  • ฟันปลอมหลวม กดทับเหงือกจนเป็นแผล หรือแตกหัก
  • มีกลิ่นปากรุนแรง แม้จะทำความสะอาดดีแล้ว

ปัจจุบันมีบริการทันตกรรมสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงถึงบ้าน ลองปรึกษาโรงพยาบาลใกล้บ้านหรือคลินิกทันตกรรมดูครับ

บทที่ 7: คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 20 ข้อ

  1. Q: ต้องแปรงฟันให้ผู้สูงอายุวันละกี่ครั้ง? A: อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ หลังอาหารเช้าและก่อนนอน การแปรงฟันก่อนนอนสำคัญที่สุด
  2. Q: ถ้าผู้สูงอายุบ้วนปากไม่ได้เลย ทำอย่างไร? A: ใช้ยาสีฟันน้อยมาก (เท่าเมล็ดถั่วเขียว) และใช้ผ้าก๊อซหรือเครื่องดูดเสมหะ (Suction) คอยซับฟองและน้ำลายออกแทนการบ้วนทิ้ง การที่ฟลูออไรด์เคลือบผิวฟันไว้เล็กน้อยเป็นผลดี
  3. Q: จำเป็นต้องใช้น้ำยาบ้วนปากหรือไม่? A: โดยทั่วไปไม่จำเป็นสำหรับทุกคน และ ห้ามใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ปากแห้งยิ่งขึ้น หากทันตแพทย์สั่งน้ำยาบ้วนปากชนิดฆ่าเชื้อ (เช่น Chlorhexidine) ให้ใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  4. Q: ผู้สูงอายุไม่มีฟันเลย ยังต้องทำความสะอาดช่องปากหรือไม่? A: จำเป็นอย่างยิ่งครับ ต้องใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำสะอาดเช็ดสันเหงือก กระพุ้งแก้ม และลิ้น อย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และป้องกันการติดเชื้อรา
  5. Q: ทำไมห้ามใช้ยาสีฟันของคนแปรงฟันปลอม? A: เพราะยาสีฟันมีสารขัดหยาบ (Abrasives) ที่จะทำให้ผิวของฟันปลอมพลาสติกเป็นรอยขีดข่วน ทำให้เชื้อโรคและคราบสีเกาะติดได้ง่ายขึ้น
  6. Q: ต้องถอดฟันปลอมตอนนอนหรือไม่? A: ต้องถอดเสมอ เพื่อให้เหงือกได้พักจากการกดทับและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อราใต้ฐานฟันปลอม
  7. Q: ผู้สูงอายุมีเลือดออกตามไรฟันเวลาแปรงฟัน ควรทำอย่างไร? หยุดแปรงบริเวณนั้นดีไหม? A: อย่าหยุดแปรงครับ! เลือดออกเป็นสัญญาณของเหงือกอักเสบซึ่งเกิดจากคราบจุลินทรีย์ ให้แปรงบริเวณนั้นอย่างนุ่มนวลและสม่ำเสมอต่อไป อาการเลือดออกจะค่อยๆ ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นควรปรึกษาทันตแพทย์
  8. Q: แปรงสีฟันไฟฟ้าดีกว่าแปรงธรรมดาหรือไม่? A: แปรงไฟฟ้าอาจช่วยให้ทำความสะอาดได้ดีและง่ายขึ้นสำหรับผู้ดูแลบางท่าน แต่ถ้าสามารถใช้แปรงธรรมดาทำความสะอาดได้ทั่วถึง ก็มีประสิทธิภาพดีเช่นกัน สิ่งสำคัญคือเทคนิคที่ถูกต้องและความสม่ำเสมอ
  9. Q: ผู้สูงอายุบ่นว่าปากแห้งมาก จะช่วยบรรเทาได้อย่างไร? A: ให้จิบน้ำบ่อยๆ, ใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเช็ดในปาก, ใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นในช่องปากหรือน้ำลายเทียม (มีขายตามร้านขายยา), หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
  10. Q: กลืนยาสีฟันจะเป็นอันตรายไหม? A: หากใช้ในปริมาณน้อยเท่าเมล็ดถั่วเขียว การกลืนลงไปบ้างไม่เป็นอันตรายรุนแรง แต่ควรพยายามเช็ดออกให้มากที่สุดเพื่อลดปริมาณที่กลืนเข้าไป
  11. Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าฟันปลอมหลวม? A: สังเกตว่าฟันปลอมขยับไปมาเวลาพูดหรือเคี้ยว, ผู้สูงอายุบ่นว่าเคี้ยวไม่ถนัด, หรือมีแผลกดทับบริเวณเหงือกใต้ฐานฟันปลอม
  12. Q: แปรงซอกฟันกับไหมขัดฟัน อันไหนดีกว่ากัน? A: ขึ้นอยู่กับขนาดของซอกฟัน หากซอกฟันห่างจนแปรงซอกฟันสอดเข้าไปได้ง่าย ให้ใช้แปรงซอกฟันจะทำความสะอาดได้ดีกว่า แต่ถ้าซอกฟันชิดกันมาก ให้ใช้ไหมขัดฟัน
  13. Q: ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันบ่อยแค่ไหน? A: ทุกๆ 3-4 เดือน หรือเมื่อขนแปรงเริ่มบาน
  14. Q: การดูแลช่องปากในผู้ป่วยอัลไซเมอร์มีอะไรที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ? A: ผู้ป่วยอาจลืมว่าแปรงฟันแล้ว หรือต่อต้านรุนแรง ควรใช้เทคนิคที่เรียบง่าย พูดสั้นๆ ชัดเจน ทำเป็นกิจวัตร และอาจต้องให้ความสำคัญกับความรวดเร็วในการทำความสะอาดให้เสร็จ
  15. Q: ทำไมลิ้นถึงเป็นฝ้าขาว? A: อาจเป็นคราบอาหารและแบคทีเรียธรรมดา ซึ่งแปรงหรือเช็ดออกได้ แต่หากเป็นคราบขาวที่ขูดออกแล้วมีเลือดซึมหรือเจ็บ อาจเป็นเชื้อรา ซึ่งควรพบแพทย์หรือทันตแพทย์
  16. Q: ถ้าผู้สูงอายุสำลักบ่อย ควรทำความสะอาดช่องปากอย่างไรให้ปลอดภัย? A: จัดท่าศีรษะสูงและตะแคงหน้าเสมอ, ใช้ยาสีฟันน้อยที่สุดหรือใช้แค่แปรงชุบน้ำ, ใช้ผ้าก๊อซซับน้ำตลอดเวลา และอาจต้องใช้เครื่องดูดเสมหะช่วย
  17. Q: การดูแลช่องปากช่วยลดความเสี่ยงปอดติดเชื้อได้อย่างไร? A: การทำความสะอาดช่องปากที่ดีจะช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียก่อโรค หากเกิดการสำลักน้ำลายลงปอด ปริมาณเชื้อที่ลงไปก็จะน้อยลง ทำให้โอกาสเกิดปอดอักเสบลดลงอย่างมาก
  18. Q: ถ้าหาทันตแพทย์ที่มาดูที่บ้านไม่ได้ ควรทำอย่างไร? A: โทรศัพท์ปรึกษาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.), โรงพยาบาลรัฐ หรือคณะทันตแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งมักจะมีโครงการหรือหน่วยบริการทันตกรรมเคลื่อนที่สำหรับชุมชน
  19. Q: ผู้สูงอายุดื่มแต่น้ำหวานหรือนม จะมีปัญหาฟันผุไหม? A: มีความเสี่ยงสูงมากครับ น้ำตาลในเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรีย ควรให้บ้วนปากหรือดื่มน้ำเปล่าตามทุกครั้ง และต้องแปรงฟันอย่างพิถีพิถัน
  20. Q: ผู้ดูแลจะป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อได้อย่างไร? A: สวมถุงมือสะอาดแบบใช้แล้วทิ้งทุกครั้งที่ทำความสะอาดช่องปาก และล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังทำหัตถการเสมอ

บทสรุป

การดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คือหนึ่งในการแสดงความรักและความใส่ใจที่สำคัญที่สุด แม้จะเป็นงานที่ท้าทาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างมหาศาล เพราะท่านไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันความเจ็บปวดและการติดเชื้อ แต่ยังช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถรับประทานอาหารได้ดีขึ้น มีสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงขึ้น และที่สำคัญคือการรักษาไว้ซึ่งคุณภาพชีวิตและรอยยิ้มของท่าน

ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ดูแลทุกท่านในการทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ อย่าลังเลที่จะปรึกษาทันตแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ใกล้บ้านท่าน

ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมในเครือ สกายเทรนเด็นทอลกรุ๊ป ทั้ง 14 สาขา

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *