คู่มือดูแลสุขภาพช่องปาก สำหรับผู้สูงอายุ (ที่ช่วยเหลือตัวเองได้) ฉบับสมบูรณ์

 การดูแลสุขภาพช่องปากอาจมีความท้าทายและซับซ้อนมากกว่าเดิม แต่การมีสุขภาพช่องปากที่ดีไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของรอยยิ้มที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม คุณภาพชีวิต การรับประทานอาหาร และการเข้าสังคมของผู้สูงอายุอีกด้วย คู่มือฉบับนี้จึงถูกจัดทำขึ้นอย่างละเอียดที่สุด เพื่อให้ผู้สูงอายุและผู้ดูแลสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อรักษาฟันธรรมชาติให้อยู่กับเราไปนานที่สุด หรือดูแลฟันปลอมให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

บทที่ 1: ทำไมสุขภาพช่องปากในผู้สูงอายุจึงสำคัญเป็นพิเศษ?

หลายท่านอาจคิดว่า “แก่แล้ว ฟันไม่ดีก็เป็นเรื่องธรรมดา” แต่ความจริงแล้ว สุขภาพช่องปากที่ดียังคงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในวัยสูงอายุ ด้วยเหตุผลดังนี้

  • ป้องกันโรคทางระบบทั่วร่างกาย: ช่องปากคือประตูสู่ร่างกาย การติดเชื้อในช่องปาก เช่น โรคเหงือกอักเสบรุนแรง (โรคปริทันต์) มีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคเบาหวานที่ควบคุมได้ยากขึ้น, และโรคปอดอักเสบจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia) ในผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอ
  • โภชนาการที่ดี: การมีฟันที่แข็งแรงหรือฟันปลอมที่ใช้งานได้ดี ทำให้สามารถเคี้ยวอาหารได้หลากหลาย โดยเฉพาะผัก ผลไม้ และโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการรักษามวลกล้ามเนื้อและสุขภาพโดยรวม หากเคี้ยวลำบาก อาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารได้
  • คุณภาพชีวิตและการเข้าสังคม: ความเจ็บปวดในช่องปาก, ปัญหากลิ่นปาก, หรือการใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี อาจทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียความมั่นใจ ไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าพูดคุย หรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
  • การพูดและการสื่อสาร: ฟันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกเสียง หากสูญเสียฟันไปโดยไม่มีฟันปลอมทดแทน อาจทำให้พูดไม่ชัดเจนและสื่อสารลำบาก

บทที่ 2: ปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตามวัย ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อปัญหาเหล่านี้มากขึ้น

  1. ภาวะปากแห้ง น้ำลายน้อย (Xerostomia):

o สาเหตุ: เป็นผลข้างเคียงจากยาหลายชนิด (เช่น ยาลดความดัน, ยาแก้แพ้, ยาขับปัสสาวะ), การฉายรังสีบริเวณศีรษะและลำคอ, และโรคประจำตัวบางอย่าง (เช่น เบาหวาน, กลุ่มอาการโจเกรน)

o ผลกระทบ: น้ำลายมีหน้าที่ชะล้างเศษอาหารและปรับสมดุลกรดในปาก เมื่อน้ำลายน้อยจะเพิ่มความเสี่ยงฟันผุ (โดยเฉพาะบริเวณรากฟัน), เกิดการติดเชื้อราในช่องปาก (Candidiasis), แสบร้อนในปาก, กลืนลำบาก และทำให้ฟันปลอมหลวมหรือเสียดสีกับเหงือกจนเป็นแผล

  1. ฟันผุบริเวณรากฟัน (Root Caries):

o สาเหตุ: เกิดจากภาวะเหงือกร่นตามวัยหรือจากโรคปริทันต์ ทำให้ผิวรากฟันซึ่งอ่อนแอกว่าตัวฟันโผล่ออกมาสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียและกรดในช่องปาก ประกอบกับภาวะปากแห้งยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการผุบริเวณนี้ได้ง่ายมาก

  1. โรคเหงือกและโรคปริทันต์อักเสบ (Gum Disease & Periodontitis):

o ลักษณะ: เริ่มจากเหงือกอักเสบ (Gingivitis) คือมีอาการบวมแดง, เลือดออกง่ายขณะแปรงฟัน หากไม่รักษาจะลุกลามเป็นโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ซึ่งมีการทำลายกระดูกที่รองรับฟัน ทำให้ฟันโยก และอาจต้องถอนฟันในที่สุด

o ปัจจัยเสี่ยง: การดูแลความสะอาดไม่ดี, การสูบบุหรี่, โรคเบาหวาน, ภาวะปากแห้ง

  1. การสูญเสียฟัน (Tooth Loss):

o ผลกระทบ: ทำให้เคี้ยวอาหารลำบาก, ฟันซี่ข้างเคียงล้มเอียง, กระดูกขากรรไกรบริเวณที่ไม่มีฟันจะค่อยๆ ละลายตัวลง ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย และการใส่ฟันปลอมในอนาคตทำได้ยากขึ้น

  1. ปัญหาเกี่ยวกับฟันปลอม (Denture-Related Problems):

o ฟันปลอมหลวม: เกิดจากกระดูกขากรรไกรที่ยุบตัวลงตามกาลเวลา ทำให้ฟันปลอมไม่พอดีเหมือนเดิม

o แผลในช่องปาก: เกิดจากฟันปลอมที่หลวมหรือมีขอบคมกดทับเหงือก

o การอักเสบใต้ฐานฟันปลอม (Denture Stomatitis): เป็นการติดเชื้อราบนเพดานปาก มักเกิดจากการใส่ฟันปลอมนอน หรือทำความสะอาดฟันปลอมไม่ดีพอ

  1. มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer):

o ความเสี่ยง: ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

o สัญญาณเตือน: แผลเรื้อรังที่ไม่หายใน 2 สัปดาห์, ก้อนเนื้อที่ผิดปกติ, รอยฝ้าขาวหรือแดง, อาการเจ็บหรือชาโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบพบทันตแพทย์

บทที่ 3: คู่มือการดูแลสุขภาพช่องปากประจำวัน (ฉบับลงมือทำ)

การดูแลที่ดีที่สุดคือการป้องกัน เราสามารถแบ่งการดูแลตามลักษณะช่องปากของผู้สูงอายุได้ดังนี้

ส่วนที่ 1: สำหรับผู้สูงอายุที่มีฟันธรรมชาติ

  1. การแปรงฟัน:

o ความถี่: อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน)

o แปรงสีฟัน: เลือกใช้แปรงขนนุ่มพิเศษ (Extra Soft/Super Soft) เพื่อถนอมเหงือกและผิวรากฟัน

o เทคนิค: วางขนแปรงทำมุม 45 องศากับขอบเหงือก ขยับแปรงเบาๆ เป็นวงกลมสั้นๆ แล้วปัดออกจากขอบเหงือก แปรงให้ครบทุกซี่ ทุกด้าน (ด้านนอก, ด้านใน, ด้านบดเคี้ยว) ใช้เวลาอย่างน้อย 2 นาที

o สำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อมือ: อาจพิจารณาใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า ซึ่งช่วยทุ่นแรงและมักมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่ดีกว่า หรือดัดแปลงด้ามแปรงให้จับถนัดมือขึ้นโดยใช้ท่อพลาสติกแบบนิ่ม หรือยางหุ้ม

  1. ยาสีฟัน:

o ต้องมีฟลูออไรด์: เลือกยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ 1,000-1,500 ppm เสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ

  1. การทำความสะอาดซอกฟัน:

o สำคัญมาก: ซอกฟันเป็นบริเวณที่การแปรงฟันเข้าไม่ถึงและเป็นจุดเริ่มต้นของโรคเหงือกและฟันผุ

o ไหมขัดฟัน (Dental Floss): เหมาะสำหรับซอกฟันที่ยังชิดกันดี

o แปรงซอกฟัน (Interdental Brush): เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้สูงอายุที่มีช่องว่างระหว่างฟันกว้างขึ้นจากภาวะเหงือกร่น เลือกขนาดให้พอดีกับช่องว่าง

o ไหมขัดฟันแบบมีด้าม (Floss Holder) หรือไม้จิ้มฟันพลาสติก: ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น แต่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่ากับการใช้ไหมขัดฟันแบบทั่วไป

o เครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดฟัน (Water Flosser): เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ไหมขัดฟันลำบาก หรือมีสะพานฟัน/รากฟันเทียม

  1. การดูแลลิ้นและกระพุ้งแก้ม:

o ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มหรือที่ขูดลิ้นแปรงเบาๆ บนลิ้น เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก

ส่วนที่ 2: สำหรับผู้สูงอายุที่ใส่ฟันปลอม

การดูแลฟันปลอมสำคัญเท่ากับการดูแลฟันธรรมชาติ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและรักษาสุขภาพเหงือก

  1. การถอดฟันปลอม:

o ต้องถอดก่อนนอนทุกคืน: เพื่อให้เหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปากได้พักผ่อนและรับออกซิเจน ลดความเสี่ยงการติดเชื้อรา

  1. การทำความสะอาดฟันปลอม:

o ทำความสะอาดทุกวัน: หลังอาหารควรถอดออกมาล้างน้ำเปล่า และก่อนนอนให้ทำความสะอาดอย่างจริงจัง

o อุปกรณ์: ใช้แปรงสีฟันสำหรับฟันปลอม (Denture Brush) หรือแปรงสีฟันขนนุ่ม ร่วมกับสบู่เหลวอ่อนๆ หรือน้ำยามูสโฟมล้างฟันปลอมโดยเฉพาะ ห้ามใช้ยาสีฟัน เพราะมีผงขัดที่อาจทำให้ฟันปลอมเป็นรอยและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค

o เทคนิค: แปรงให้ทั่วทุกพื้นผิวของฟันปลอม ทั้งด้านนอกและด้านในที่สัมผัสกับเหงือก ควรหาผ้าขนหนู หรือภาชนะรองในอ่างล้างหน้าขณะทำความสะอาด เพื่อป้องกันฟันปลอมตกแตก

  1. การแช่ฟันปลอม:

o หลังทำความสะอาด: ให้แช่ฟันปลอมในน้ำสะอาด หรือน้ำยาแช่ฟันปลอม (ปฏิบัติตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์) ตลอดทั้งคืน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันปลอมแห้งจนเสียรูปทรง

  1. การทำความสะอาดช่องปาก:

o สำคัญไม่แพ้กัน: ขณะที่ถอดฟันปลอม ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำ หรือแปรงขนนุ่มมากๆ แปรงเบาๆ ให้ทั่วสันเหงือก เพดานปาก ลิ้น และกระพุ้งแก้ม เพื่อนวดเหงือกและกำจัดคราบต่างๆ

ส่วนที่ 3: โภชนาการและเคล็ดลับเพิ่มเติม

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การจิบน้ำบ่อยๆ ตลอดวันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับภาวะปากแห้ง
  • จำกัดอาหารหวานและเหนียว: ลดความถี่ในการทานขนมหวาน น้ำอัดลม เพื่อลดความเสี่ยงฟันผุ
  • ทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามิน: เช่น นม ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว เพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟัน
  • เคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล: ชนิดที่มีส่วนผสมของไซลิทอล (Xylitol) หลังอาหาร สามารถช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำลายได้

บทที่ 4: บทบาทสำคัญของการพบทันตแพทย์เป็นประจำ

อย่านัดทันตแพทย์เมื่อมีปัญหาเท่านั้น การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำคือหัวใจของการป้องกัน

  • ความถี่: ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูน ทุก 6 เดือน หรืออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แม้จะไม่มีฟันธรรมชาติเหลืออยู่แล้วก็ตาม
  • สิ่งที่ทันตแพทย์จะตรวจ:

o ตรวจหาฟันผุและโรคเหงือกในระยะเริ่มต้น

o ขูดหินปูนและขัดทำความสะอาดฟัน

o ตรวจคัดกรองรอยโรคที่อาจเป็นมะเร็งช่องปาก

o ตรวจเช็คสภาพฟันปลอมว่ายังพอดีอยู่หรือไม่

o ให้คำแนะนำการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เตรียมตัวก่อนไปพบทันตแพทย์: แจ้งรายการยาที่ทานทั้งหมดและโรคประจำตัวให้ทันตแพทย์ทราบทุกครั้ง

บทที่ 5: คำแนะนำสำหรับผู้ดูแล (Caregiver)

หากท่านเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ท่านมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง

  • ช่วยแปรงฟัน: หากผู้สูงอายุไม่สามารถแปรงเองได้ ให้ใช้เทคนิคที่ถูกต้องช่วยแปรงให้ อาจให้ผู้สูงอายุนั่งเอนตัวเล็กน้อยเพื่อป้องกันการสำลัก
  • สังเกตความผิดปกติ: ช่วยตรวจดูในช่องปากเป็นประจำ หากพบแผลที่ไม่หาย, เหงือกบวมแดง, หรือผู้สูงอายุบ่นว่าเจ็บ เคี้ยวลำบาก ควรพาไปพบทันตแพทย์
  • ดูแลฟันปลอมให้: ปฏิบัติตามขั้นตอนการทำความสะอาด และแช่ฟันปลอมแทนผู้สูงอายุ
  • สื่อสารด้วยความเข้าใจ: อธิบายความสำคัญของการดูแลช่องปากและให้กำลังใจเสมอ

บทที่ 6: คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

  1. ถาม: ปากแห้งมาก ควรทำอย่างไร? ตอบ: จิบน้ำบ่อยๆ, หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์, เคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล, และปรึกษาทันตแพทย์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์น้ำลายเทียม
  2. ถาม: เลือดออกตอนแปรงฟัน ควรหยุดแปรงบริเวณนั้นหรือไม่? ตอบ: ไม่ควรหยุดครับ เลือดออกเป็นสัญญาณของเหงือกอักเสบ ให้แปรงบริเวณนั้นอย่างนุ่มนวลและสม่ำเสมอต่อไปร่วมกับการใช้ไหมขัดฟัน อาการจะดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นควรพบทันตแพทย์
  3. ถาม: แปรงสีฟันไฟฟ้าดีกว่าแปรงธรรมดาจริงหรือ? ตอบ: แปรงไฟฟ้ามักกำจัดคราบจุลินทรีย์ได้ดีกว่า และมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีปัญหาการเคลื่อนไหวของข้อมือ แต่ถ้าใช้แปรงธรรมดาด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็ให้ผลดีเช่นกันครับ
  4. ถาม: จำเป็นต้องใช้น้ำยาบ้วนปากไหม? ตอบ: ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องใช้ แต่จะมีประโยชน์ในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงฟันผุสูง (ใช้น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์) หรือผู้ที่เพิ่งผ่าตัดในช่องปาก (ใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อตามทันตแพทย์สั่ง) ควรเลือกสูตรที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพื่อไม่ให้ปากแห้ง
  5. ถาม: ใส่ฟันปลอมนอนได้หรือไม่? ตอบ: ไม่ควรเด็ดขาดครับ การใส่ฟันปลอมนอนเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อราใต้ฐานฟันปลอมและโรคปอดอักเสบจากการสำลัก
  6. ถาม: ใช้ยาสีฟันแปรงฟันปลอมได้ไหม? ตอบ: ไม่ได้ครับ ยาสีฟันมีสารขัดหยาบที่ทำให้ฟันปลอมเป็นรอยขีดข่วน ควรใช้สบู่เหลวอ่อนๆ หรือ เม็ดฟู่/น้ำยามูสโฟมสำหรับล้างฟันปลอมโดยเฉพาะ
  7. ถาม: ฟันปลอมหลวม ทำอย่างไรดี? ตอบ: ควรกลับไปพบทันตแพทย์เพื่อปรับแก้หรือทำฐานฟันปลอมใหม่ (reline/rebase) ไม่ควรพยายามแก้ไขด้วยตนเองเพราะอาจทำให้ฟันปลอมเสียหายได้
  8. ถาม: ไม่มีฟันแล้ว ต้องไปหาหมอฟันอีกไหม? ตอบ: ต้องไปครับ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ทันตแพทย์ตรวจเช็คสภาพสันเหงือก, ตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปาก, และเช็คความพอดีของฟันปลอม
  9. ถาม: ไม้จิ้มฟัน ใช้แทนไหมขัดฟันได้หรือไม่? ตอบ: ไม่แนะนำครับ ไม้จิ้มฟันอาจทำอันตรายต่อเหงือกและไม่สามารถทำความสะอาดผิวฟันด้านข้างได้ดีเท่าไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน
  10. ถาม: โรคเบาหวานกับสุขภาพช่องปากเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ตอบ: ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี จะมีความเสี่ยงเป็นโรคปริทันต์รุนแรงมากขึ้น และในทางกลับกัน การติดเชื้อจากโรคปริทันต์ก็ทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดทำได้ยากขึ้นเช่นกัน
  11. ถาม: รู้สึกว่ารับรสได้น้อยลง เกี่ยวกับช่องปากไหม? ตอบ: อาจเกี่ยวข้องครับ ภาวะปากแห้ง, การดูแลสุขอนามัยไม่ดี, หรือการติดเชื้อในช่องปาก สามารถส่งผลต่อการรับรสได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์
  12. ถาม: ฟันโยกเล็กน้อย จำเป็นต้องถอนไหม? ตอบ: ไม่เสมอไปครับ หากฟันโยกจากโรคปริทันต์ในระยะแรกๆ การรักษาโรคปริทันต์อย่างถูกวิธีอาจทำให้ฟันกลับมาแน่นขึ้นได้ ควรให้ทันตแพทย์ประเมิน
  13. ถาม: รากฟันเทียม (Dental Implant) เหมาะกับผู้สูงอายุหรือไม่? ตอบ: เหมาะสมมากครับ หากผู้สูงอายุมีสุขภาพโดยรวมแข็งแรงดีและมีปริมาณกระดูกเพียงพอ รากฟันเทียมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป เพราะให้ความรู้สึกและการใช้งานใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุด
  14. ถาม: การขูดหินปูนทำให้ฟันบางหรือฟันห่างหรือไม่? ตอบ: ไม่จริงครับ การขูดหินปูนคือการกำจัดหินปูนที่เกาะบนผิวฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือก ความรู้สึกว่าฟันห่างหลังขูดหินปูนเกิดจากเหงือกที่เคยบวมอักเสบยุบตัวลง หรือเป็นช่องว่างที่เคยมีหินปูนขนาดใหญ่อุดอยู่
  15. ถาม: ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งทุกเช้าดีต่อสุขภาพ แต่จะมีผลต่อฟันไหม? ตอบ: มีผลเสียต่อฟันได้ครับ เพราะมีความเป็นกรดสูง สามารถกัดกร่อนเคลือบฟันได้ แนะนำให้ใช้หลอดดูดเพื่อลดการสัมผัสกับฟันโดยตรง และบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทันทีหลังดื่ม (อย่าเพิ่งแปรงฟัน)
  16. ถาม: ค่ารักษาทางทันตกรรมสำหรับผู้สูงอายุมีสวัสดิการอะไรบ้าง? ตอบ: สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และสิทธิประกันสังคม ครอบคลุมการรักษาพื้นฐาน เช่น อุดฟัน, ถอนฟัน, ขูดหินปูน, และการทำฟันปลอมบางส่วนหรือทั้งปากตามเงื่อนไข ควรตรวจสอบสิทธิกับสถานพยาบาลโดยตรง
  17. ถาม: ทำไมผู้สูงอายุถึงมีกลิ่นปากง่าย? ตอบ: เกิดได้จากหลายสาเหตุร่วมกัน เช่น ภาวะปากแห้ง, การดูแลความสะอาดไม่ทั่วถึง, โรคเหงือก, ฟันผุที่ไม่ได้รักษา, หรือคราบบนฟันปลอม
  18. ถาม: ถ้ามีแผลในปากนานกว่า 2 สัปดาห์ควรทำอย่างไร? ตอบ: ควรรีบไปพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อทำการตรวจวินิจฉัย เพราะอาจเป็นสัญญาณของรอยโรคก่อนมะเร็งหรือมะเร็งในช่องปากได้
  19. ถาม: การดูแลช่องปากสำหรับผู้สูงอายุที่นอนติดเตียงมีข้อควรระวังอะไรพิเศษ? ตอบ: ควรจัดท่าให้ศีรษะสูงหรือตะแคงหน้าขณะทำความสะอาดเพื่อป้องกันการสำลัก ใช้แปรงขนนุ่มและยาสีฟันน้อยๆ (ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว) หรือใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำสะอาดเช็ดแทนการแปรงในบางกรณี และดูดของเหลวออกจากปากด้วยเครื่องดูดเสมหะถ้ามี
  20. ถาม: ผู้สูงอายุจำเป็นต้องใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กเพราะอ่อนโยนกว่าหรือไม่?

ตอบ: ไม่จำเป็นครับ ควรใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ใหญ่ที่มีฟลูออไรด์ 1,000-1,500 ppm เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันฟันผุ แต่ให้เลือกแปรงสีฟันที่มีขนนุ่มพิเศษแทน

บทสรุป การลงทุนเวลาให้กับการดูแลสุขภาพช่องปากในวัยสูงอายุ คือการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน การแปรงฟันและทำความสะอาดซอกฟันอย่างถูกวิธี, การดูแลฟันปลอมให้สะอาด, การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม, และการพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ คือเสาหลักสี่ประการที่จะช่วยให้ท่านมีรอยยิ้มที่สดใสและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงไปอีกยาวนาน

จงอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลหรือปรึกษาทันตแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย เพราะสุขภาพช่องปากที่ดีเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถมีได้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตามค่ะ

ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมในเครือ สกายเทรนเด็นทัลกรุ๊ป