คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้ใหญ่ฉบับสมบูรณ์
ช่องปากคือ ประตูสู่สุขภาพองค์รวม
เพราะสุขภาพช่องปากไม่ใช่เรื่องของฟันและเหงือกที่แยกอยู่โดยลำพัง แต่เป็น “ประตูสู่สุขภาพองค์รวม”
การอักเสบและเชื้อโรคในช่องปาก สามารถเดินทางผ่านกระแสเลือดไปส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญทั่วร่างกายได้ เช่น เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด, ทำให้การควบคุมน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานทำได้ยากขึ้น, และอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์
คู่มือฉบับสมบูรณ์นี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อให้ท่านดูแลฟันของตนเอง แต่เพื่อให้ท่านเข้าใจ “กลไก” การเกิดโรค, วิธี “ป้องกันเชิงรุก” และสามารถเป็น “ครูด้านสุขภาพช่องปาก” คนแรกและคนสำคัญที่สุดของบุตรหลานได้อย่างมั่นใจ
บทที่ 1: เข้าใจจุลินทรีย์และโครงสร้างฟัน
1.1 ปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพช่องปาก
- คราบจุลินทรีย์ (Plaque/Biofilm): ไม่ใช่แค่คราบอาหาร แต่มันคือ “อาณานิคมที่มีชีวิตของแบคทีเรีย” ที่เกาะตัวกันเป็นแผ่นฟิล์มเหนียวๆ บนผิวฟัน มันคือต้นตอของปัญหาทั้งหมด
- หินน้ำลาย/หินปูน (Calculus/Tartar): คือคราบจุลินทรีย์ที่ไม่ได้ถูกกำจัดออกไปและได้ดูดซับแร่ธาตุจากน้ำลายจนแข็งตัวกลายเป็นหิน เปรียบเสมือน “บ้านปูน” ของแบคทีเรียที่แปรงสีฟันไม่สามารถทำลายได้ ต้องให้ทันตแพทย์ใช้เครื่องมือขูดออกเท่านั้น
- น้ำลาย (Saliva): คือ “ซูเปอร์ฮีโร่” ของช่องปาก มีหน้าที่ชะล้างเศษอาหาร, ปรับสมดุลกรด-ด่าง, และมีแร่ธาตุช่วยซ่อมแซมฟันผุระยะเริ่มต้น ภาวะปากแห้งจึงอันตรายอย่างยิ่ง
- โครงสร้างฟันและเหงือก:
- เคลือบฟัน (Enamel): เกราะป้องกันชั้นนอกสุด แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายแต่แพ้กรด
- เนื้อฟัน (Dentin): ชั้นถัดเข้ามา มีท่อเล็กๆ จำนวนมากเชื่อมต่อกับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการ “เสียวฟัน”
- เหงือกสุขภาพดี: จะมีสีชมพูอ่อน แนบสนิทกับตัวฟัน และมี “ร่องเหงือก” (Sulcus) ลึกไม่เกิน 3 มิลลิเมตร
1.2 กลไกการเกิดโรคสำคัญ
- ฟันผุ: สงครามการสูญเสียแร่ธาตุ กระบวนการนี้เปรียบเหมือนตาชั่ง:
- เมื่อเรากินน้ำตาล/แป้ง: แบคทีเรียในคราบจุลินทรีย์จะสร้าง “กรด” ขึ้นมา
- เกิดภาวะกรด: กรดจะละลายแร่ธาตุ (แคลเซียม, ฟอสเฟต) ออกจากผิวเคลือบฟัน เรียกว่า “การสูญเสียแร่ธาตุ” (Demineralization)
- การซ่อมแซม: เมื่อสภาวะกรดหมดไป น้ำลายจะนำแร่ธาตุ ร่วมกับ “ฟลูออไรด์” กลับมาซ่อมแซมผิวฟัน เรียกว่า “การคืนแร่ธาตุ” (Remineralization) ฟันผุเป็นรูเกิดขึ้นเมื่อ “การสูญเสียแร่ธาตุ” เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงกว่า “การคืนแร่ธาตุ”
- โรคเหงือก: การพังทลายของฐานราก
-
- ระยะที่ 1: เหงือกอักเสบ (Gingivitis): คราบจุลินทรีย์ที่สะสมตามขอบเหงือกทำให้เหงือกอักเสบ (บวม แดง เลือดออกง่าย) ขั้นนี้ยังสามารถรักษาให้หายกลับเป็นปกติ 100% ได้ ด้วยการดูแลความสะอาดที่ถูกต้องและการขูดหินปูน
- ระยะที่ 2: ปริทันต์อักเสบ (Periodontitis): หากปล่อยให้เหงือกอักเสบต่อไป การอักเสบจะลุกลามลงไปทำลาย “กระดูกเบ้าฟัน” และ “เอ็นยึดปริทันต์” ซึ่งเป็นฐานรากที่ยึดฟันไว้ ทำให้ร่องเหงือกลึกขึ้น (เกิดเป็น Periodontal Pocket), ฟันโยก และอาจต้องถอนฟันในที่สุด ขั้นนี้ไม่สามารถย้อนคืนกระดูกที่เสียไปได้แล้ว การรักษาทำได้เพียงหยุดยั้งไม่ให้โรคลุกลามไปมากกว่าเดิม
บทที่ 2: การดูแลสุขภาพช่องปากประจำวัน
“การดูแลช่องปากประจำวันที่ดี คือการขัดขวางกลไกการเกิดโรคในทุกขั้นตอน”
2.1 การแปรงฟัน: ศิลปะแห่งความสะอาด
- เทคนิคที่ทันตแพทย์แนะนำ (Modified Bass Technique):
- ตำแหน่ง: เอียงแปรง 45 องศา เข้าหาขอบเหงือก ให้ปลายขนแปรงสอดเข้าไปใน “ร่องเหงือก” เล็กน้อย
- การเคลื่อนไหว: “ขยับสั้นๆ และนุ่มนวล” ในแนวนอน 4-5 ครั้ง โดยให้ขนแปรงอยู่ตำแหน่งเดิม เพื่อปัดกวาดคราบจุลินทรีย์ในร่องเหงือก
- การปัด: “ปัด” ขนแปรงออกจากขอบเหงือกมายังปลายฟัน
- ทำซ้ำ: ทำขั้นที่ 1-3 ซ้ำในทุกๆ บริเวณ (ทีละ 2-3 ซี่) ให้ครบทุกด้าน (ด้านแก้ม, ด้านลิ้น, ด้านบดเคี้ยว)
- ฟันหน้าด้านใน: วางแปรงในแนวตั้ง แล้วใช้ปลายแปรงปัดออกมา
- การเลือกสรรอุปกรณ์ในการทำความสะอาดฟัน:
- แปรงสีฟัน:
- แปรงธรรมดา: เลือกขนแปรงนุ่ม (Soft/Extra soft) หัวแปรงเล็กเพียงพอที่จะสามารถแปรงซี่สุดท้ายได้อย่างสะอาด ด้ามจับถนัดมือ
- แปรงไฟฟ้า: มี 2 ระบบหลัก คือ Oscillating-Rotating (หัวกลมหมุนสลับไปมา) และ Sonic (สั่นด้วยความถี่สูง) ทั้งสองแบบมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจุลินทรีย์สูงกว่าแปรงธรรมดา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีปัญหาการใช้ข้อมือ หรือต้องการความมั่นใจว่าสะอาดทั่วถึง
- ยาสีฟัน: อ่านฉลากให้เป็น!
- ฟลูออไรด์ (Fluoride): ต้องมี! ความเข้มข้น 1,000-1,500 ppm คือมาตรฐาน
- สารลดอาการเสียวฟัน: เช่น Potassium Nitrate, Strontium Chloride
- สารควบคุมหินปูน: เช่น Pyrophosphates, Zinc Citrate, Zine Lactate (ช่วยชะลอการเกิดหินปูนใหม่ แต่กำจัดของเก่าไม่ได้)
- สารฟอกฟันขาว: มักเป็นสารขัดถูอย่างอ่อน (Mild Abrasives) เช่น Hydrated Silica ช่วยขจัดคราบสีภายนอก
- ความถี่และเวลา: อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) ครั้งละ อย่างน้อย 2 นาที
- ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:
- แปรงแรงเกินไป: ไม่ได้ทำให้สะอาดขึ้น แต่ทำให้คอฟันสึกและเหงือกร่น
- ใช้แปรงขนแข็ง: ทำร้ายเหงือกและเคลือบฟัน
- รีบร้อน: การแปรงไม่ถึง 2 นาที มักจะทำให้ข้ามบริเวณสำคัญๆ ไป เช่น ฟันกรามซี่ในสุด หรือฟันหน้าด้านลิ้น
2.2 การทำความสะอาดซอกฟัน: บริเวณในช่องปากที่ถูกลืม
หากคุณไม่ใช้ไหมขัดฟัน เท่ากับคุณทิ้งพื้นที่ผิวฟันไว้ถึง 35% โดยไม่ได้ทำความสะอาด
เลือกอุปกรณ์ให้เหมาะกับคุณ:
- ฟันชิดกันแน่น: เลือกใช้ไหมขัดฟันแบบเคลือบแว็กซ์ (Waxed floss) หรือไหมแบบเทป (Dental tape)
- มีช่องว่างระหว่างฟัน/ใส่เหล็กจัดฟัน/ทำสะพานฟัน: แปรงซอกฟัน (Interdental Brush) คือพระเอก เลือกขนาดให้พอดีกับช่องว่าง
- ใช้ไหมขัดฟันลำบาก/มีรากฟันเทียม: ไหมขัดฟันพลังน้ำ (Water Flosser) เป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมในการกำจัดเศษอาหารชิ้นใหญ่และนวดเหงือก แต่แนะนำให้ใช้ “ร่วมกับ” ไหมขัดฟันปกติ
ไหมขัดฟัน (Dental Floss): เหมาะสำหรับฟันที่ชิดกันปกติ
- เจาะลึกวิธีใช้ไหมขัดฟัน:
- พันไหมที่นิ้วกลางให้แน่น เพื่อให้นิ้วชี้และนิ้วโป้งเป็นอิสระสำหรับบังคับทิศทาง
- ค่อยๆ เลื่อนไหมผ่านจุดที่ฟันชิดกันเบาๆ ห้ามกดหรือกระแทกไหมลงบนเหงือก
- เมื่อไหมผ่านแล้ว ให้ “โอบไหมเป็นรูปตัว C” รอบซี่ฟันซี่หนึ่ง แล้วขยับขึ้น-ลงจากขอบเหงือกมาปลายฟัน 2-3 ครั้ง
- จากนั้น โอบไหมรอบฟันอีกซี่ในซอกเดียวกัน แล้วทำซ้ำ
- เลื่อนใช้ไหมส่วนที่สะอาดสำหรับซอกฟันถัดไป
แปรงซอกฟัน (Interdental Brush): ดีที่สุด สำหรับผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟัน, ใส่เหล็กจัดฟัน, ทำสะพานฟัน หรือมีเหงือกร่น เลือกขนาดให้พอดีกับช่องว่าง สอดเข้าไปตรงๆ แล้วขยับเข้า-ออก 2-3 ครั้ง
ไหมขัดฟันพลังน้ำ (Water Flosser): เป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมในการฉีดล้างเศษอาหารขนาดใหญ่และนวดเหงือก เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ไหมขัดฟันลำบากหรือมีรากเทียม/สะพานฟันซับซ้อน แต่ประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่เกาะแน่นยังไม่เท่าไหมขัดฟันปกติ
2.3 การทำความสะอาดลิ้น และการใช้น้ำยาบ้วนปาก
- ลิ้น: คือพรมชั้นดีของแบคทีเรียที่ผลิต สารประกอบกำมะถันที่ระเหยได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของกลิ่นปาก การใช้ “ที่ขูดลิ้น (Tongue Scraper)” จะมีประสิทธิภาพกว่าการใช้แปรง ควรใช้ “ที่ขูดลิ้น” ขูดเบาๆ จากโคนมาปลาย 2-3 ครั้งทุกวัน
- น้ำยาบ้วนปาก: เป็นเพียง “ตัวเสริม” ไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันได้ ควรเลือกใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ เช่น ชนิดที่มีฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ หรือชนิดที่ช่วยควบคุมเชื้อโรค (ควรใช้ตามคำแนะนำของทันตแพทย์)
- น้ำยาบ้วนปากฟลูออไรด์: เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงฟันผุสูง ใช้หลังแปรงฟัน (อม 1 นาทีแล้วบ้วนทิ้ง ห้ามบ้วนน้ำตาม)
- น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ:
- Chlorhexidine (CHG): คือ มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อโรคในช่องปาก แต่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของทันตแพทย์เท่านั้น เพราะมีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดคราบสีน้ำตาลบนฟันและลิ้น และการรับรสเปลี่ยนไป
- Cetylpyridinium Chloride (CPC) : เป็นชนิดที่หาซื้อได้ทั่วไป มีฤทธิ์อ่อนกว่า CHG ช่วยลดคราบจุลินทรีย์และเหงือกอักเสบได้ในระดับหนึ่ง
บทที่ 3: โภชนาการและไลฟ์สไตล์:
3.1 กินเพื่อสุขภาพฟัน
- ลด “ความถี่” ไม่ใช่แค่ “ปริมาณ”: การจิบน้ำอัดลมทีละนิดตลอดบ่าย อันตรายต่อฟันมากกว่าการดื่มรวดเดียวหมดในมื้ออาหาร เพราะมันทำให้ช่องปากอยู่ในสภาวะกรดเป็นเวลานานเกินไป
- ระวังน้ำตาลแฝง: ในซอสมะเขือเทศ, น้ำสลัด, โยเกิร์ตปรุงรส, กาแฟสำเร็จรูป
- ดื่มน้ำเปล่า: คือสิ่งที่ดีที่สุด ช่วยชะล้างกรดและเศษอาหาร และป้องกันภาวะปากแห้ง
- อาหารที่เป็นมิตร: ผักผลไม้สดกรอบ (ช่วยกระตุ้นน้ำลาย), ผลิตภัณฑ์จากนม (ให้แคลเซียมและฟอสเฟต)
3.2 พฤติกรรมทำลายล้าง
- การสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า: นิโคตินทำให้เส้นเลือดที่เหงือกหดตัว ทำให้เลือดมาเลี้ยงน้อยลง เป็นการ “ปิดบัง” อาการเลือดออกซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคเหงือก ทำให้ผู้สูบบุหรี่มักรู้ตัวเมื่อสายเกินไป และยังเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งช่องปากมหาศาล
- การนอนกัดฟัน (Bruxism): หากคุณตื่นมาพร้อมอาการปวดเมื่อยหน้า, ปวดขมับ, หรือเสียวฟันโดยไม่มีสาเหตุ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำ “เฝือกสบฟัน” (Night guard)
- การใช้ฟันผิดหน้าที่: ห้ามใช้ฟันเปิดขวด, กัดน้ำแข็ง, ฉีกถุงพลาสติก เพราะอาจทำให้ฟันแตกได้
บทที่ 4: การตรวจสุขภาพช่องปากและฟันโดยทันตแพทย์
4.1 การตรวจสุขภาพช่องปากประจำปี (ทุก 6-12 เดือน)
สิ่งที่ทันตแพทย์จะทำ ไม่ใช่แค่ “ดูฟันผุ”:
- การตรวจด้วยสายตาและเครื่องมือ: ทันตแพทย์ไม่ได้มองหาแค่รูผุ แต่จะตรวจขอบวัสดุอุด, รอยร้าวขนาดเล็ก (Craze lines/Cracks), สภาพของครอบฟันและสะพานฟัน
- ตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปาก: ตรวจหาแผล, ก้อน, หรือสีที่ผิดปกติบนลิ้น กระพุ้งแก้ม และเนื้อเยื่ออื่นๆ
- ตรวจสุขภาพเหงือกเชิงลึก: ใช้เครื่องมือวัดความลึกร่องเหงือก (Periodontal Probing) เพื่อค้นหาโรคปริทันต์ระยะเริ่มต้น
- ประเมินวัสดุอุด/ครอบฟันเก่า: ตรวจดูรอยรั่ว, รอยแตก ที่อาจเป็นปัญหาในอนาคต
- ถ่ายภาพรังสี (X-ray): เพื่อตรวจหาฟันผุในซอกฟัน, ฟันคุด, หรือพยาธิสภาพในกระดูกขากรรไกรที่มองไม่เห็น
- ภาพรังสีด้านประชิด (Bitewing): เพื่อหาฟันผุระหว่างซอกฟันที่มองไม่เห็น
- ภาพรังสีรอบปลายราก (Periapical): เพื่อดูสภาพปลายรากฟันและกระดูกโดยรอบ
- ภาพรังสีพาโนรามิก (Panoramic): เพื่อดูภาพรวมทั้งขากรรไกร, ฟันคุด, และข้อต่อขากรรไกร
- ขูดหินปูนและขัดฟัน: กำจัดหินปูนซึ่งเป็นต้นเหตุโรคเหงือก และขจัดคราบสีที่ติดแน่น
“ขูดหินปูน” vs “เกลารากฟัน”
- การขูดหินปูนและขัดฟัน (Prophylaxis): สำหรับคนที่มีสุขภาพเหงือกดีหรือเหงือกอักเสบ เป็นการกำจัดคราบหินปูน “เหนือเหงือก” และใต้เหงือกเล็กน้อย
- การเกลารากฟัน (Scaling and Root Planing): สำหรับผู้ป่วย “โรคปริทันต์อักเสบ” เป็นการรักษาที่ลงลึกเพื่อกำจัดหินปูนที่เกาะบนผิวรากฟัน “ใต้เหงือก” และทำให้ผิวรากเรียบเพื่อให้เหงือกกลับมายึดติดได้ดีขึ้น มักต้องใช้ยาชาร่วมด้วย
4.2 สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบทันตแพทย์
- ปวดฟัน หรือเสียวฟันรุนแรง
- เหงือกบวมเป็นตุ่มหนอง
- เลือดออกมากผิดปกติจากเหงือก
- ฟันโยก หรือรู้สึกว่าการสบฟันเปลี่ยนไป
- มีแผลในปากที่ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์
- ได้รับอุบัติเหตุที่ฟันหรือใบหน้า
บทที่ 5: การดูแลพิเศษตามช่วงวัยและสภาวะ
- ผู้ที่ใส่ครอบฟัน/สะพานฟัน/รากเทียม: การทำความสะอาด “ใต้” สะพานฟันและรอบๆ รากเทียมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง อุปกรณ์ช่วยที่จำเป็นคือ Superfloss หรือ ไหมขัดฟันพลังน้ำ (Water Flosser)
- สตรีมีครรภ์: ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงทำให้เกิด “เหงือกอักเสบจากการตั้งครรภ์” ได้ง่าย และอาจพบ “ก้อนเนื้อที่เหงือก” (Pyogenic Granuloma หรือ Pregnancy Tumor) ซึ่งไม่อันตรายและมักยุบไปเองหลังคลอด ช่วงที่ปลอดภัยที่สุดในการทำฟันคือไตรมาสที่ 2
- วัยหมดประจำเดือน: การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจทำให้เกิดภาวะปากแห้ง, รู้สึกแสบร้อนในปาก (Burning Mouth Syndrome), และเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนซึ่งส่งผลต่อกระดูกขากรรไกร
- ผู้สูงวัย: ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งปากแห้งจากยาที่ทานหลายชนิด (Polypharmacy), ความเสี่ยงฟันผุที่รากฟันสูงขึ้นจากเหงือกร่น, และความยากลำบากในการใช้มือทำความสะอาด แปรงสีฟันไฟฟ้าและไหมขัดฟันพลังน้ำจึงมีประโยชน์อย่างมาก
FAQ: 20 คำถามยอดฮิต ตอบโดยทันตแพทย์
- ถาม: ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันเมื่อไหร่? ตอบ: ทุก 3-4 เดือน หรือเมื่อขนแปรงบาน เพราะประสิทธิภาพในการทำความสะอาดร่องเหงือกลดลงอย่างมาก และควรเปลี่ยนทันทีหลังป่วยเป็นไข้หวัด
- ถาม: แปรงไฟฟ้าดีกว่าแปรงธรรมดาจริงไหม? ตอบ: โดยทั่วไป “ใช่” ครับ แปรงไฟฟ้าสามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์ได้ดีกว่าและสม่ำเสมอกว่า แต่หากใช้แปรงธรรมดาได้ถูกเทคนิคและใช้เวลาครบถ้วน ก็ให้ผลดีเช่นกัน
- ถาม: แปรงฟันแล้วเลือดออก ควรทำอย่างไร? ตอบ: นั่นคือสัญญาณของ “เหงือกอักเสบ” ห้ามหยุดแปรง แต่ให้แปรงบริเวณนั้นอย่างนุ่มนวลขึ้นและเน้นการใช้ไหมขัดฟันให้ดี เลือดควรจะลดลงใน 1-2 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นควรพบทันตแพทย์
- ถาม: ขูดหินปูนทำให้ฟันบางหรือฟันห่างหรือไม่? ตอบ: ไม่จริงครับ การขูดหินปูนเป็นการกำจัดก้อนหินปูนที่เกาะบนฟัน ไม่ได้กรอเนื้อฟัน ความรู้สึกว่าฟันห่างเกิดจากช่องว่างที่เคยมีหินปูนอุดอยู่ปรากฏขึ้นมาเท่านั้น
- ถาม: น้ำยาบ้วนปากใช้แทนการแปรงฟันได้ไหม? ตอบ: ไม่ได้เด็ดขาด เปรียบเหมือนการราดน้ำยาล้างจานบนจานที่มันเยิ้มโดยไม่ใช้ฟองน้ำขัด คราบเหนียวของจุลินทรีย์ยังคงเกาะอยู่เหมือนเดิม
- ถาม: การฟอกสีฟันอันตรายหรือไม่? ตอบ: หากทำโดยทันตแพทย์ถือว่าปลอดภัยครับ อาจมีอาการเสียวฟันชั่วคราวแต่จะหายได้เอง ไม่แนะนำให้ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานมาทำเอง
- ถาม: จำเป็นต้องถอนฟันคุดทุกซี่ไหม? ตอบ: ไม่จำเป็นครับ หากฟันคุดขึ้นมาตรง ทำความสะอาดได้ดี และไม่ส่งผลเสียต่อฟันข้างเคียง ก็สามารถเก็บไว้ได้ ให้ทันตแพทย์เป็นผู้ประเมิน
- ถาม: ยาสีฟันชาร์โคล/สมุนไพร ดีจริงไหม? ตอบ: สิ่งสำคัญที่สุดคือ “มีฟลูออไรด์ 1000-1500 ppm หรือไม่?” หากไม่มี ก็ไม่สามารถป้องกันฟันผุได้ดีเท่าที่ควร ชาร์โคลอาจช่วยขจัดคราบสีแต่ก็อาจทำให้ฟันสึกได้หากใช้ระยะยาว
- ถาม: น้ำอัดลม “ไม่มีน้ำตาล” (Zero Sugar) ปลอดภัยต่อฟันหรือไม่? ตอบ: ไม่ปลอดภัยครับ แม้ไม่มีน้ำตาล แต่ยังมีความเป็น “กรด” สูงมาก ซึ่งสามารถกัดกร่อนเคลือบฟันให้สึกได้โดยตรง
- ถาม: ทำไมถึงยังมีกลิ่นปาก ทั้งที่แปรงฟันดีแล้ว? ตอบ: สาเหตุอันดับหนึ่งที่คนมักลืมคือ “ไม่ได้ทำความสะอาดลิ้น” สาเหตุอื่นอาจมาจากโรคเหงือก, ปากแห้ง, หรือปัญหาจากระบบอื่นในร่างกาย เช่น ไซนัส หรือ กรดไหลย้อน
- ถาม: การใช้ไม้จิ้มฟันแคะเศษอาหารอันตรายไหม? ตอบ: อันตรายครับ ปลายแหลมของไม้อาจทิ่มทำลายเหงือกให้เป็นแผลและทำให้เหงือกร่น ควรใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟันแทน
- ถาม: รากฟันเทียมดีที่สุดจริงหรือ? ตอบ: สำหรับการทดแทนฟันที่สูญเสียไป 1 ซี่ รากฟันเทียมถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะใช้งานได้เหมือนฟันธรรมชาติและไม่ต้องไปยุ่งกับฟันซี่ข้างเคียง
- ถาม: จัดฟันตอนอายุเยอะได้ไหม? ตอบ: ได้ครับ ตราบใดที่สุขภาพเหงือกและกระดูกยังแข็งแรงดี ก็สามารถจัดฟันได้ทุกวัย
- ถาม: หลังจัดฟัน ต้องใส่รีเทนเนอร์นานแค่ไหน? ตอบ: ตลอดชีวิต คือคำตอบที่ดีที่สุด (โดยอาจลดเหลือแค่ตอนนอนเมื่อเวลาผ่านไป) ฟันคนเราเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลา การหยุดใส่คือความเสี่ยงที่ฟันจะล้มหรือเกซ้อนอีกครั้ง
- ถาม: ทำไมถึงเสียวฟัน? ตอบ: เกิดจากชั้น “เนื้อฟัน” (Dentin) ถูกเปิดออกสู่ภายนอก อาจมีสาเหตุจากเหงือกร่น, คอฟันสึกจากการแปรงฟันแรง, ฟันแตก/ร้าว, หรือฟันผุ
- ถาม: ควรพาลูกไปหาหมอฟันครั้งแรกเมื่อไหร่? ตอบ: เมื่อฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น หรือไม่เกินอายุ 1 ขวบ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและรับคำแนะนำในการดูแล
- ถาม: เคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้ฟันสะอาดได้ไหม? ตอบ: การเคี้ยวหมากฝรั่ง “ชนิดไม่มีน้ำตาล” จะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำลายเพื่อลดความเป็นกรดได้ แต่ไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันได้
- ถาม: ฟันที่อุดแล้วจะผุซ้ำได้ไหม? ตอบ: ได้ครับ โดยมักจะผุบริเวณ “ขอบ” ของวัสดุอุด ซึ่งเป็นรอยต่อที่คราบจุลินทรีย์ไปเกาะได้ง่าย จึงต้องดูแลความสะอาดให้ดีเสมอ
- ถาม: การดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นตอนเช้าดีต่อสุขภาพ แต่ทำร้ายฟันหรือไม่? ตอบ: ทำร้ายฟันครับ เพราะมะนาวมีความเป็นกรดสูงมาก หากต้องการดื่ม แนะนำให้ใช้หลอดดูดเพื่อลดการสัมผัสกับฟัน และบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทันทีหลังดื่ม (อย่าเพิ่งแปรงฟันทันที ควรรออย่างน้อย 30 นาที)
- ถาม: ถ้าดูแลช่องปากดีมาก ไม่เคยมีปัญหาเลย จำเป็นต้องไปหาหมอฟันทุก 6 เดือนหรือไม่? ตอบ: จำเป็นครับ เพราะมีปัญหาหลายอย่างที่เริ่มต้นโดยไม่มีอาการ เช่น ฟันผุระยะแรกในซอกฟัน หรือโรคเหงือกที่ยังไม่แสดงอาการชัดเจน การตรวจพบปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้การรักษาง่ายและประหยัดกว่ามาก
บทสรุป: สุขภาพช่องปากคือวินัย ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์
การจะมีรอยยิ้มที่สวยงามและสุขภาพช่องปากที่ดีไปตลอดชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยาสีฟันราคาแพงหรือเทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการลงมือทำสิ่งพื้นฐานอย่างถูกต้องสม่ำเสมอทุกวัน นั่นคือ วินัย ในการแปรงฟัน, การใช้ไหมขัดฟัน, การเลือกรับประทานอาหาร และการเข้าพบทันตแพทย์ซึ่งเป็นคู่หูของคุณเป็นประจำ
ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมในเครือ สกายเทรนเด็นทอลกรุ๊ป