คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น (6 – 18 ปี) ฉบับสมบูรณ์

คุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน ช่วงวัย 6 ปีขึ้นไปจนถึงวัยรุ่น ถือเป็น “ยุคทองแห่งการเปลี่ยนแปลง” ในช่องปากของลูกน้อย จากฟันน้ำนมซี่เล็กๆ จะเริ่มทยอยหลุดออกไป และมีฟันแท้ที่แข็งแรงกว่าขึ้นมาแทนที่ ซึ่งฟันชุดนี้จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต การวางรากฐานการดูแลที่ดีเยี่ยมในช่วงวัยนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

คู่มือฉบับนี้ ได้รวบรวมทุกแง่มุมที่สำคัญในการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงประเด็นเฉพาะที่พบบ่อย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปปรับใช้ สร้างรอยยิ้มที่สดใสและสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงให้กับลูกรักได้อย่างมั่นใจ

บทที่ 1:

ทำความเข้าใจช่องปากของเด็กวัย 6-12 ปี (ช่วงฟันชุดผสม)

นี่คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและอาจจะสับสนเล็กน้อย เพราะในปากของเด็กจะมีทั้งฟันน้ำนมที่กำลังจะหลุดและฟันแท้ที่เพิ่งขึ้นมาอยู่ร่วมกัน เราเรียกช่วงนี้ว่า “ภาวะฟันชุดผสม (Mixed Dentition)”

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ:

  1. การขึ้นของฟันกรามแท้ซี่แรก (First Permanent Molars):
  • ฟันซี่นี้มีความสำคัญมากที่สุด! มักจะขึ้นมาตอนอายุประมาณ 6 ปี โดยจะขึ้นมาด้านในสุดต่อจากฟันกรามน้ำนมซี่สุดท้าย (ไม่มีฟันน้ำนมหลุดออกไปก่อน) ทำให้ผู้ปกครองหลายท่านเข้าใจผิดว่าเป็นฟันน้ำนม
  • ทำไมสำคัญ? ฟันซี่นี้เป็นฟันกรามที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด ทำหน้าที่บดเคี้ยวหลัก และเป็นหลักในการเรียงตัวของฟันแท้ซี่อื่นๆ ที่จะตามมา
  • การดูแล: เนื่องจากฟันซี่นี้มีหลุมร่องลึก ทำความสะอาดได้ยาก และเด็กยังแปรงฟันได้ไม่ดีพอ จึงมีความเสี่ยงผุสูงมาก หมอแนะนำให้ทำ การเคลือบหลุมร่องฟัน (Dental Sealant)” เพื่อป้องกันฟันผุครับ
  1. การหลุดของฟันน้ำนมและการขึ้นของฟันแท้:
  • ฟันหน้าซี่ล่างมักจะเป็นฟันน้ำนมซี่แรกที่หลุดตอนอายุ 6-7 ปี จากนั้นซี่อื่นๆ จะทยอยหลุดไปจนครบอายุประมาณ 12 ปี
  • ช่วงหน้าตาไม่สวย (Ugly Duckling Stage)”: เมื่อฟันแท้ซี่หน้าขึ้นมาใหม่ๆ อาจจะดูซ้อนเก ใหญ่กว่าฟันซี่อื่น หรือมีช่องว่างระหว่างฟัน ถือเป็นเรื่องปกติของการเจริญเติบโตครับ ช่องว่างเหล่านี้มักจะปิดสนิทเมื่อฟันเขี้ยวแท้ขึ้นมาตอนอายุประมาณ 11-12 ปี
  1. การแปรงฟันที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ:
  • เด็กวัยนี้เริ่มอยากแปรงฟันเอง แต่กล้ามเนื้อมือยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ยังแปรงไม่สะอาดพอ
  • หน้าที่ผู้ปกครอง:ควรให้ลูกแปรงฟันเองก่อนเพื่อฝึกฝน จากนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องแปรงซ้ำ”หรือตรวจความสะอาด”ให้อีกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณฟันกรามซี่ในสุดและบริเวณคอฟันชิดขอบเหงือก ควรทำเช่นนี้ไปจนกว่าลูกจะอายุประมาณ 8-10 ปี หรือจนกว่าจะมั่นใจว่าเขาแปรงได้สะอาดทั่วถึงจริงๆ

บทที่ 2: การดูแลช่องปากสำหรับวัยรุ่น (12 ปีขึ้นไป)

เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ฟันแท้ส่วนใหญ่จะขึ้นมาครบแล้ว (ยกเว้นฟันคุด) ความท้าทายจะเปลี่ยนไปเป็นการรับมือกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป และความต้องการเฉพาะของวัยรุ่น

ความท้าทายและสิ่งที่ต้องดูแล:

  1. การจัดฟัน (Orthodontics):
  • วัยนี้เป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดในการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและการสบฟันที่ผิดปกติ
  • การดูแลระหว่างจัดฟัน: การมีเครื่องมือจัดฟันในช่องปากทำให้การทำความสะอาดทำได้ยากขึ้นมาก เสี่ยงต่อฟันผุและเหงือกอักเสบสูง
  • อุปกรณ์ที่จำเป็น: แปรงสีฟันสำหรับคนจัดฟัน, แปรงซอกฟัน (Interdental Brush), ไหมขัดฟันสำหรับคนจัดฟัน (Superfloss) หรือเครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดฟัน (Water Flosser)
  • ต้องเน้นย้ำเรื่องวินัยในการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
  1. อาหารและเครื่องดื่ม:
  • วัยรุ่นเริ่มมีอิสระในการเลือกกินมากขึ้น ขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม ชานมไข่มุก เครื่องดื่มชูกำลัง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
  • คำแนะนำ: ต้องให้ความรู้ถึงผลเสียของน้ำตาลและกรดที่มีต่อผิวฟัน พยายามจำกัดการบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้ หากดื่มควรดื่มให้หมดในเวลาสั้นๆ ไม่จิบเรื่อยๆ และบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทุกครั้งหลังดื่ม เพื่อลดความเป็นกรดในช่องปาก
  • ส่งเสริมการทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น นม ผลไม้ ผัก เพื่อสุขภาพช่องปากและร่างกายที่แข็งแรง
  1. ฟันคุด (Wisdom Teeth):
  • เป็นฟันกรามแท้ซี่ที่สาม ซึ่งเป็นซี่สุดท้ายที่จะขึ้นมาในช่วงอายุ 17-21 ปี
  • บ่อยครั้งที่ฟันคุดไม่มีพื้นที่พอที่จะขึ้นมาได้อย่างปกติ อาจจะขึ้นมาได้บางส่วน หรือฝังตัวอยู่ในกระดูกขากรรไกร ทำให้ทำความสะอาดยากและอาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น เหงือกอักเสบ ฟันซี่ข้างเคียงผุ หรือเกิดถุงน้ำ (Cyst)
  • ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อ X-ray ตรวจประเมินในช่วงอายุ 16-18 ปี เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
  1. ปัญหากลิ่นปาก (Halitosis):
  • อาจเกิดจากสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดีพอ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการมีฟันผุ/เหงือกอักเสบ
  • วิธีแก้: แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้ถูกวิธี และที่สำคัญคือ การแปรงลิ้น” ทุกครั้ง เพื่อกำจัดคราบแบคทีเรียบนลิ้นซึ่งเป็นสาเหตุหลักของกลิ่นปาก
  1. การสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า (Vaping):
  • เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพช่องปากและสุขภาพโดยรวม ต้องให้ความรู้และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของโรคเหงือกอย่างรุนแรง, มะเร็งช่องปาก, ทำให้ปากแห้ง, มีกลิ่นปาก และทำให้ฟันมีสีคล้ำ

บทที่ 3: หลักปฏิบัติ 5 ประการเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีเยี่ยม (สำหรับทุกวัย)

  1. แปรงฟันให้ถูกวิธี:
  • เมื่อไหร่: อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน
  • ยาสีฟัน: ต้องใช้ ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ที่มีความเข้มข้น 1,000 ppm ขึ้นไป
  • แปรงสีฟัน: เลือกแปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม ปลายมน ขนาดพอเหมาะกับปากของเด็ก เปลี่ยนแปรงทุก 3-4 เดือน
  • เทคนิค: วางขนแปรงทำมุม 45 องศากับขอบเหงือก ขยับเบาๆ เป็นวงกลมสั้นๆ แปรงให้ครบทุกด้านของฟันแต่ละซี่ ใช้เวลาอย่างน้อย 2 นาที
  1. ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวัน:
  • การแปรงฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำความสะอาดซอกฟันได้ ซึ่งเป็นบริเวณที่ฟันผุได้ง่ายที่สุด
  • เมื่อไหร่: อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง (แนะนำให้ทำก่อนนอน)
  • วิธี: สอนให้ลูกใช้ไหมขัดฟัน (Dental Floss) หรือไหมขัดฟันแบบมีด้าม (Flosser) ให้เป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก
  1. ควบคุมอาหารและเครื่องดื่ม:
  • ลด ของหวาน, ของว่างระหว่างมื้อ, ขนมเหนียวติดฟัน, น้ำอัดลม, และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
  • เพิ่ม ผัก ผลไม้ นม ชีส และอาหารที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง
  • ดื่มน้ำเปล่าให้เป็นนิสัย และบ้วนปากทุกครั้งหลังทานอาหาร
  1. ป้องกันการบาดเจ็บ:
  • สำหรับเด็กที่เล่นกีฬาที่มีการกระทบกระแทก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล เทควันโด ควรใส่ เฝือกสบฟัน หรือ ยางกันกระแทก (Mouthguard)” ทุกครั้งเพื่อป้องกันฟันแตกหักหรือหลุดจากอุบัติเหตุ
  1. พบทันตแพทย์เป็นประจำ:
  • ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ขัดฟัน และเคลือบฟลูออไรด์ ทุกๆ 6 เดือน
  • การตรวจฟันเป็นประจำจะช่วยให้เจอความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้การรักษาง่ายขึ้นและไม่ลุกลาม

FAQ: 20 คำถามที่พบบ่อยจากผู้ปกครอง

  1. Q: ฟันแท้ของลูกที่เพิ่งขึ้นมาทำไมสีเหลืองกว่าฟันน้ำนม?

o A: เป็นเรื่องปกติครับ ฟันแท้มีชั้นเคลือบฟัน (Enamel) ที่โปร่งแสงกว่าและมีชั้นเนื้อฟัน (Dentin) ที่มีสีเหลืองโดยธรรมชาติหนากว่าฟันน้ำนม ทำให้เมื่ออยู่ข้างกันจึงเห็นว่าฟันแท้มีสีเหลืองกว่าครับ

  1. Q: ลูกควรเลิกใช้ยาสีฟันเด็กเมื่อไหร่?

o A: สิ่งสำคัญไม่ใช่ “ยาสีฟันเด็ก” หรือ “ผู้ใหญ่” แต่อยู่ที่ “ความเข้มข้นของฟลูออไรด์” ครับ เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปควรใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ 1,000 ppm ขึ้นไป ซึ่งยาสีฟันผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มีปริมาณนี้ สามารถเริ่มใช้ได้เลยเมื่อลูกสามารถบ้วนยาสีฟันส่วนเกินทิ้งได้ดี ไม่กลืนครับ

  1. Q: แปรงสีฟันไฟฟ้าดีกว่าแปรงธรรมดาจริงไหม?

o A: แปรงไฟฟ้าสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแปรงได้ดี โดยเฉพาะในเด็กที่ยังมีทักษะการแปรงไม่ดีพอ แต่ถ้าใช้แปรงธรรมดาได้ถูกวิธีและสะอาดทั่วถึง ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ต่างกันครับ หัวใจสำคัญคือ “เทคนิค” และ “เวลา” ที่ใช้ครับ

  1. Q: จำเป็นต้องใช้น้ำยาบ้วนปากไหม?

o A: สำหรับเด็กทั่วไปที่ไม่มีความเสี่ยงสูง การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธีก็เพียงพอแล้วครับ น้ำยาบ้วนปากเป็นเพียงตัวเสริม ไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันได้ และเด็กบางคนอาจยังบ้วนไม่เก่งพอทำให้กลืนได้ ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนใช้ครับ

  1. Q: ถ้าเหงือกลูกมีเลือดออกตอนใช้ไหมขัดฟัน ควรหยุดไหม?

o A: ไม่ควรหยุดครับ เลือดที่ออกเป็นสัญญาณของ “เหงือกอักเสบ” ซึ่งเกิดจากคราบจุลินทรีย์สะสม การใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอจะช่วยกำจัดคราบเหล่านี้ และอาการเลือดออกจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปใน 1-2 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นควรมาพบทันตแพทย์ครับ

  1. Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกต้องจัดฟัน?

o A: สังเกตจากฟันที่ซ้อนเกอย่างเห็นได้ชัด, ฟันยื่น, ฟันสบคร่อม, การสบฟันหน้าที่ไม่พอดี หรือเมื่อลูกกัดอาหารลำบาก แนะนำให้พามาพบทันตแพทย์เพื่อประเมินครั้งแรกในช่วงอายุ 7-8 ปีครับ

  1. Q: การเคลือบหลุมร่องฟัน (Sealant) ปลอดภัยไหม และอยู่ได้นานแค่ไหน?

o A: ปลอดภัยมากครับ เป็นการป้องกันฟันผุที่ดีเยี่ยมและไม่เจ็บ อยู่ได้นานหลายปี แต่ก็อาจมีการสึกหรือหลุดออกไปได้ ทันตแพทย์จะคอยตรวจเช็คและเติมให้ใหม่ในการตรวจฟันประจำปีครับ

  1. Q: ถ้าฟันแท้ของลูกถูกกระแทกจนหลุดออกมาทั้งซี่ ต้องทำอย่างไร?

o A: ตั้งสติ! ห้าม จับที่รากฟัน ให้จับที่ตัวฟัน ล้างด้วยน้ำสะอาดหรือนมจืดเบาๆ ห้าม ขัดถู จากนั้นใส่ฟันกลับเข้าไปในเบ้าฟันเดิมเบาๆ แล้วให้ลูกกัดผ้าก๊อซไว้ หรือถ้าทำไม่ได้ ให้แช่ฟันใน “นมจืด” แล้วรีบไปพบทันตแพทย์ทันที (ภายใน 30-60 นาที) โอกาสที่จะรักษาฟันซี่นั้นไว้ได้จะมีสูงมากครับ

  1. Q: เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬา (Sport Drinks) ไม่ดีจริงหรือ?

o A: ไม่ดีต่อสุขภาพฟันอย่างยิ่งครับ เพราะมีทั้งน้ำตาลและกรดในปริมาณสูงมาก ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของฟันผุและฟันสึกกร่อน หลังออกกำลังกาย ควรให้ลูกดื่ม “น้ำเปล่า” จะดีที่สุดครับ

  1. Q: จะกระตุ้นให้ลูกวัยรุ่นที่ไม่ค่อยใส่ใจดูแลช่องปากได้อย่างไร?

o A: ลองเชื่อมโยงกับสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ เช่น “รอยยิ้มที่ดูดี”, “ลมหายใจสดชื่นเพื่อความมั่นใจ” แทนการพูดถึง “ฟันผุ” ที่อาจดูไกลตัว ให้ความรู้ด้วยภาพฟันที่เสียหายจากเครื่องดื่มที่เขาชอบ อาจช่วยให้เขาตระหนักมากขึ้นครับ

  1. Q: การเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นอันตรายต่อฟันไหม?

o A: ควรเลือก “หมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล (Sugar-free)” ที่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น ไซลิทอล (Xylitol) การเคี้ยวหลังอาหารจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ซึ่งช่วยลดความเป็นกรดในช่องปากได้ครับ ถือเป็นผลดีครับ

  1. Q: ฟันคุดจำเป็นต้องผ่าออกทุกซี่หรือไม่?

o A: ไม่จำเป็นครับ ถ้าฟันคุดสามารถขึ้นมาได้ตรง อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และสามารถทำความสะอาดได้ดี ก็ไม่จำเป็นต้องเอาออก ทันตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินจากภาพถ่ายรังสีและตำแหน่งของฟันครับ

  1. Q: ลูกอายุ 8 ปีแล้ว แต่ฟันน้ำนมยังไม่หลุดเลย ผิดปกติไหม?

o A: ช่วงเวลาการหลุดของฟันแต่ละคนแตกต่างกันได้ครับ แต่หากฟันแท้ขึ้นมาซ้อนด้านหลังแล้วฟันน้ำนมยังไม่ยอมหลุด หรืออายุเกินช่วงเฉลี่ยไปมาก ควรมาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ครับ

  1. Q: การฟอกสีฟันในวัยรุ่นทำได้หรือไม่?

o A: โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ทำการฟอกสีฟันในเด็กที่อายุต่ำกว่า 16-18 ปี เนื่องจากโพรงประสาทฟันยังกว้าง อาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันอย่างรุนแรงได้ ควรรอให้ฟันเจริญเติบโตเต็มที่ก่อน และต้องทำภายใต้การดูแลของทันตแพทย์เท่านั้นครับ

  1. Q: ทำไมต้องเคลือบฟลูออไรด์ที่คลินิก ทั้งๆ ที่ยาสีฟันก็มีฟลูออไรด์แล้ว?

o A: ฟลูออไรด์ที่คลินิกเป็นชนิดความเข้มข้นสูง ซึ่งจะออกฤทธิ์ได้ดีและนานกว่าในยาสีฟัน ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิวฟันและยับยั้งการผุในระยะเริ่มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนการให้ “วัคซีนป้องกันฟันผุ” ครับ

  1. Q: ลูกชอบใช้ฟันกัดน้ำแข็งหรือเปิดขวด เป็นอันตรายไหม?

o A: เป็นอันตรายมากครับ! พฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้ฟันบิ่น แตก หรือร้าวได้ ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด และให้ความรู้ถึงผลเสียที่จะตามมาครับ

  1. Q: เด็กที่จัดฟันควรมาขูดหินปูนบ่อยแค่ไหน?

o A: ควรมาตรวจและขูดหินปูนบ่อยกว่าปกติ อาจจะเป็นทุก 3-4 เดือน หรือตามที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำ เพื่อป้องกันโรคเหงือกและฟันผุระหว่างจัดฟันครับ

  1. Q: อาการเสียวฟันในเด็กเกิดจากอะไรได้บ้าง?

o A: อาจเกิดจากฟันผุ, ฟันสึก, เหงือกร่น หรือหลังการอุดฟันใหม่ๆ หากมีอาการเสียวฟันต่อเนื่อง ควรพามาตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงครับ

  1. Q: จำเป็นต้อง X-ray ช่องปากในการตรวจฟันประจำปีหรือไม่?

o A: จำเป็นในบางกรณีครับ ภาพถ่ายรังสีช่วยให้ทันตแพทย์มองเห็นฟันผุด้านประชิดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า, ดูการเจริญของหน่อฟันแท้, ตรวจหาฟันคุด หรือความผิดปกติอื่นๆ ใต้เหงือกและในกระดูกขากรรไกรได้

  1. Q: การแปรงลิ้นสำคัญแค่ไหน?

o A: สำคัญมากครับ โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่กังวลเรื่องกลิ่นปาก บนลิ้นเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียจำนวนมาก การใช้ที่แปรงลิ้น (Tongue Scraper) หรือใช้แปรงสีฟันขนนุ่มแปรงเบาๆ ที่ลิ้นทุกครั้งหลังแปรงฟัน จะช่วยลดปัญหากลิ่นปากได้อย่างมีนัยสำคัญครับ

การสร้างอนาคตแห่งรอยยิ้มที่ยั่งยืน การดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นเปรียบเสมือนการวิ่งผลัด ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยประคับประคองและส่งต่อไม้แห่ง “ความรู้และวินัย” ให้กับลูกอย่างถูกวิธี

หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การดูแลที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่อยู่ที่ ความสม่ำเสมอ, การเอาใจใส่ และ การสร้างทัศนคติที่ดี ต่อการดูแลสุขภาพช่องปาก

การเป็นแบบอย่างที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ การให้กำลังใจ และการทำให้การดูแลช่องปากเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน คือของขวัญล้ำค่าที่สุดที่จะมอบสุขภาพฟันที่แข็งแรงและรอยยิ้มที่มั่นใจให้กับเขาไปตลอดชีวิต

อย่าลืมนะครับว่า “การป้องกันดีกว่าการรักษาเสมอ” การลงทุนเวลาและใส่ใจในวันนี้ คือการป้องกันปัญหาใหญ่และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าในอนาคต หากมีข้อสงสัยใดๆ เพิ่มเติม การปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางเด็กของท่าน คือคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ

ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมในเครือ สกายเทรนเด็นทอลกรุ๊ป