คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับเด็กเล็ก (6 เดือน – 2 ปี) ฉบับสมบูรณ์

การดูแลลูกน้อยในขวบปีแรกๆ นั้นมีรายละเอียดมากมาย และเรื่องสุขภาพช่องปากก็เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่มักมีคำถามและข้อกังวลใจ คู่มือฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นอย่างละเอียดที่สุด เพื่อเป็นเพื่อนคู่คิดและเป็นแนวทางที่ท่านสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพราะการวางรากฐานสุขภาพช่องปากที่ดีตั้งแต่วันนี้ คือของขวัญล้ำค่าที่จะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของลูกรักไปตลอดชีวิต

บทที่ 1: ฟันน้ำนมซี่แรกและการรับมือกับอาการปวดเหงือก (Teething)

ฟันน้ำนมซี่แรกมักจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6-12 เดือน โดยส่วนใหญ่จะเป็นฟันหน้าล่าง 2 ซี่กลาง ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งพัฒนาการที่น่าตื่นเต้น แต่ก็อาจมาพร้อมกับอาการไม่สบายตัวของลูกน้อยได้

ช่วงเวลาการขึ้นของฟันน้ำนม (โดยประมาณ):

  • 6-12 เดือน: ฟันหน้าล่าง 2 ซี่
  • 9-13 เดือน: ฟันหน้าบน 2 ซี่
  • 10-16 เดือน: ฟันตัดด้านข้าง (บนและล่าง)
  • 13-19 เดือน: ฟันกรามซี่แรก (บนและล่าง)
  • 16-23 เดือน: ฟันเขี้ยว (บนและล่าง)
  • 23-33 เดือน: ฟันกรามซี่ที่สอง (บนและล่าง)

สัญญาณและอาการเมื่อฟันเริ่มขึ้น:

  • น้ำลายไหลมากกว่าปกติ
  • หงุดหงิด งอแง ร้องกวนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืน
  • ชอบกัดสิ่งของต่างๆ หรือดูดนิ้ว
  • เหงือกบวมแดง
  • เบื่ออาหาร หรือปฏิเสธการดูดนม
  • อาจมีไข้ต่ำๆ (แต่หากมีไข้สูง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุอื่น)

วิธีรับมือและบรรเทาอาการ:

  1. ยางกัด (Teether): เลือกยางกัดที่ทำจากวัสดุปลอดภัย (BPA-free) แช่เย็น (ช่องธรรมดา ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง) ความเย็นจะช่วยลดอาการบวมและปวดได้ดี
  2. การนวดเหงือก: ล้างมือให้สะอาด ใช้ปลายนิ้วที่สะอาดนวดเบาๆ บริเวณเหงือกของลูก
  3. ผ้าสะอาดแช่เย็น: นำผ้าสะอาดชุบน้ำแล้วแช่เย็นให้ลูกกัดแทะเล่น
  4. อาหารเย็นๆ: สำหรับเด็กที่เริ่มทานอาหารเสริมแล้ว อาจให้ทานโยเกิร์ตหรือผลไม้บดเย็นๆ
  5. ยาบรรเทาปวด: หากลูกงอแงมากจนรบกวนการนอนหลับ สามารถปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาพาราเซตามอลสำหรับเด็กในปริมาณที่เหมาะสม
  6. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง:
    • อาหารแข็งๆ ที่เสี่ยงต่อการติดคอ: เช่น แครอท

บทที่ 2: การทำความสะอาดช่องปากและฟัน: หัวใจของการป้องกันฟันผุ

การทำความสะอาดช่องปากควรเริ่มทำตั้งแต่ลูกยังไม่มีฟัน และต้องใส่ใจเป็นพิเศษเมื่อฟันซี่แรกขึ้นมา

ช่วงก่อนฟันขึ้น (แรกเกิด – 6 เดือน):

  • ทำไมต้องทำ: เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับการมีสิ่งของเข้ามาในปาก และเพื่อเช็ดคราบนมซึ่งเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย
  • วิธีทำ: ใช้ผ้าสะอาดนุ่มๆ หรือผ้าอ้อม ชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว พันรอบนิ้ว เช็ดทำความสะอาดสันเหงือก กระพุ้งแก้ม และลิ้นของลูกอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง

ช่วงฟันซี่แรกขึ้น (6 เดือนขึ้นไป): ถึงเวลาของการแปรงฟันอย่างจริงจังแล้วครับ/ค่ะ

  • อุปกรณ์ที่ต้องใช้:
    1. แปรงสีฟัน: เลือกแปรงสีฟันสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ ที่มีขนแปรงนุ่มพิเศษ หัวแปรงเล็กมน และด้ามจับถนัดมือผู้ปกครอง
    2. ยาสีฟัน: ต้องเป็นยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ความเข้มข้น 1000 ppm เท่านั้น เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันฟันผุ
  • ปริมาณยาสีฟันที่เหมาะสม:
    • ฟันซี่แรก – 3 ปี: บีบยาสีฟันแค่ แตะพอชื้น” หรือ “ขนาดเท่าเมล็ดข้าว” ก็เพียงพอแล้วค่ะ การใช้ปริมาณเท่านี้ปลอดภัยแม้ลูกจะยังบ้วนปากไม่เป็น
  • ท่าทางการแปรงฟัน:
    • ท่าที่แนะนำ: ให้ลูกนอนหนุนตักผู้ปกครอง หรือ “Knee-to-Knee” โดยให้ผู้ปกครองนั่งหันหน้าเข้าหากัน วางลูกนอนบนตัก จะทำให้มองเห็นฟันทุกซี่ได้ชัดเจนและควบคุมได้ง่าย
    • วิธีแปรง: ขยับแปรงเบาๆ เป็นวงกลมสั้นๆ หรือถูไปมาในแนวนอน แปรงให้ครบทุกด้านของฟันแต่ละซี่ คือ ด้านนอก ด้านใน และด้านบดเคี้ยว อย่าลืมแปรงบริเวณคอฟันที่ติดกับขอบเหงือกอย่างเบามือ
  • ความถี่และเวลา:
    • แปรงฟัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าหลังตื่นนอน และที่สำคัญที่สุดคือ “ก่อนนอน”
    • หลังแปรงฟันก่อนนอน ห้าม ให้ลูกกินนมหรืออาหารอื่นอีก นอกจากน้ำเปล่า

บทที่ 3: โภชนาการและพฤติกรรมการกินเพื่อสุขภาพฟันที่ดี

“You are what you eat” ใช้ได้กับสุขภาพช่องปากเช่นกัน อาหารคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ

  • ศัตรูตัวร้ายคือ “น้ำตาล” และ “ความถี่” ในการกิน:
    • แบคทีเรียในช่องปากจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นกรด กรดนี้จะทำลายผิวฟันจนเกิดเป็นรูผุ
    • การกินของหวานหรือแป้งบ่อยๆ ตลอดวัน ทำให้ช่องปากมีสภาวะเป็นกรดต่อเนื่อง ฟันจึงถูกทำร้ายตลอดเวลา
  • คำแนะนำเรื่องการกิน:
    1. ขวดนม:
      • ห้ามเด็ดขาด: การให้ลูกหลับคาขวดนม หรือปล่อยให้ดูดนมเล่นนานๆ
      • เมื่อฟันขึ้นแล้ว ควรฝึกให้ลูกเลิกขวดนมมื้อดึกโดยเร็วที่สุด
      • อย่าผสมน้ำหวาน น้ำผึ้ง หรือสารให้ความหวานใดๆ ลงในขวดนม
      • น้ำผลไม้ ไม่ควรให้ผ่านขวดนม เพราะน้ำตาลสูงและมีความเป็นกรด
    2. อาหารมื้อหลักและอาหารว่าง:
      • ควรทานเป็นเวลา ไม่ควรทานจุบจิบตลอดวัน
      • เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์และน้ำตาลน้อย เช่น ชีส โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ผลไม้สด (ไม่หวานจัด) ผักต้ม
      • หลีกเลี่ยงของว่างที่เหนียวติดฟัน เช่น ลูกอม เยลลี่ คาราเมล ขนมปังกรอบ เพราะจะเกาะติดผิวฟันนาน
    3. เครื่องดื่ม:
      • น้ำเปล่าคือเครื่องดื่มที่ดีที่สุด โดยเฉพาะน้ำเปล่าที่ผสมฟลูออไรด์ (ในบางพื้นที่)
      • จำกัดการดื่มน้ำผลไม้ 100% ให้ไม่เกิน 4 ออนซ์ (ประมาณ 120 มล.) ต่อวัน และควรให้ดื่มจากแก้วพร้อมมื้ออาหารเท่านั้น ไม่ควรให้ดื่มจากขวดหรือจิบทั้งวัน
    4. การฝึกใช้แก้ว: เริ่มฝึกให้ลูกดื่มนมและน้ำจากแก้วเมื่ออายุประมาณ 1 ปี เพื่อช่วยให้เลิกขวดนมได้ง่ายขึ้น

บทที่ 4: การพบทันตแพทย์ครั้งแรก: ก้าวสำคัญสู่การป้องกัน

“Dentist-Friendly Child” สร้างได้ตั้งแต่ขวบปีแรก

  • เมื่อไหร่ที่ควรไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก?
    • แนะนำให้ไปพบ “ภายใน 6 เดือนหลังจากฟันซี่แรกขึ้น หรือไม่เกินอายุ 1 ปี” (First tooth, First birthday)
  • ทำไมต้องไปเร็วขนาดนั้น?
    1. เพื่อการป้องกัน: ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำการดูแลที่ถูกต้องเหมาะสมกับลูกของคุณโดยเฉพาะ
    2. เพื่อการตรวจหาความเสี่ยง: ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุตั้งแต่เนิ่นๆ
    3. เพื่อสร้างความคุ้นเคย: ทำให้ลูกรู้สึกว่าการมาทำฟันเป็นเรื่องปกติ ไม่น่ากลัว เป็นการสร้างทัศนคติที่ดี
    4. เพื่อรับการรักษาแต่เนิ่นๆ: หากพบปัญหาเล็กน้อย จะได้รีบแก้ไขก่อนลุกลาม
  • ในการพบครั้งแรก ทันตแพทย์จะทำอะไรบ้าง?
    • พูดคุยซักประวัติกับผู้ปกครองเรื่องการกิน การดูแลช่องปาก
    • ตรวจฟันในท่าทางที่สบายๆ (ส่วนใหญ่คือท่า Knee-to-Knee)
    • ให้คำแนะนำการแปรงฟันและใช้ยาสีฟันที่ถูกต้อง
    • อาจมีการขัดฟันและทาฟลูออไรด์เคลือบฟันเพื่อป้องกันฟันผุ
    • ตอบทุกคำถามที่คุณพ่อคุณแม่สงสัย

FAQ: 20 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กเล็ก

หมอรวบรวมคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามบ่อยที่สุดมาตอบให้ตรงนี้เลยครับ/ค่ะ

  1. Q: ลูกยังบ้วนปากไม่เป็น กลืนยาสีฟันผสมฟลูออไรด์จะเป็นอันตรายไหม? A: ไม่เป็นอันตรายค่ะ หากใช้ในปริมาณที่ถูกต้อง คือแค่ “แตะพอชื้น” หรือ “ขนาดเท่าเมล็ดข้าว” (สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี) ปริมาณฟลูออไรด์ที่กลืนลงไปจะน้อยมากและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ
  2. Q: จำเป็นต้องใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ 1000 ppm จริงหรือ? ใช้แบบไม่มีฟลูออไรด์ได้ไหม? A: จำเป็นอย่างยิ่งค่ะ ฟลูออไรด์เป็นสารสำคัญที่สุดที่ช่วยยับยั้งและป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยาสีฟันที่ไม่มีฟลูออไรด์หรือมีความเข้มข้นต่ำกว่านี้ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุลดลงอย่างมาก
  3. Q: ลูกไม่ยอมแปรงฟันเลย ทำอย่างไรดี? A: เป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนี้ค่ะ ลองเปลี่ยนการแปรงฟันให้เป็นเรื่องสนุก เช่น ร้องเพลงไปด้วย แปรงฟันหน้ากระจกพร้อมกันพ่อแม่ลูก ให้ลูกเลือกแปรงสีฟันลายที่ชอบ หรือใช้การ “บังคับอย่างอ่อนโยน” ในท่าที่เหมาะสม (นอนหนุนตัก) เพราะการแปรงฟันเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่สามารถต่อรองได้ครับ/ค่ะ
  4. Q: แปรงฟันแล้วเลือดออกที่เหงือก ควรหยุดแปรงไหม? A: อย่าหยุดค่ะ! เลือดที่ออกมักเป็นสัญญาณของเหงือกอักเสบ ซึ่งเกิดจากคราบจุลินทรีย์สะสม การแปรงฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอจะช่วยให้อาการเหงือกอักเสบดีขึ้นและเลือดจะหยุดไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากยังไม่ดีขึ้นควรไปพบทันตแพทย์
  5. Q: ต้องเริ่มใช้ไหมขัดฟัน (Dental Floss) ให้ลูกเมื่อไหร่? A: เริ่มใช้เมื่อฟันน้ำนม 2 ซี่ขึ้นมาประชิดกันจนไม่สามารถใช้ขนแปรงทำความสะอาดซอกฟันได้ ซึ่งมักจะเป็นบริเวณฟันกรามค่ะ
  6. Q: อาการไข้สูง ตัวร้อน เป็นอาการปกติของฟันขึ้นใช่หรือไม่? A: ไม่ใช่ค่ะ อาการฟันขึ้นอาจทำให้มีไข้ต่ำๆ ได้ แต่หากลูกมีไข้สูง (เกิน 38 องศาเซลเซียส) มักเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ ควรรีบพาลูกไปพบกุมารแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
  7. Q: ลูกชอบดูดนิ้ว/ติดจุกหลอก จะมีผลเสียต่อฟันไหม? A: ในช่วง 0-2 ปี การดูดนิ้วหรือจุกหลอกยังไม่ส่งผลเสียถาวรต่อการเรียงตัวของฟัน แต่ควรพยายามให้เลิกก่อนอายุ 3-4 ปี เพื่อป้องกันปัญหาฟันหน้ายื่นหรือการสบฟันผิดปกติในอนาคต
  8. Q: ฟันน้ำนมผุ ไม่เป็นไรใช่ไหม เดี๋ยวก็มีฟันแท้ขึ้นมาแทน? A: เป็นความเชื่อที่ผิดและอันตรายมากค่ะ ฟันน้ำนมที่ผุจะทำให้ลูกปวดฟัน เคี้ยวอาหารลำบาก ส่งผลต่อการเจริญเติบโต และเชื้อโรคอาจลุกลามไปถึงหน่อฟันแท้ที่อยู่ข้างใต้ ทำให้ฟันแท้ที่ขึ้นมาผิดปกติได้ นอกจากนี้ฟันน้ำนมยังทำหน้าที่กันที่ไว้สำหรับฟันแท้อีกด้วย
  9. Q: “ฟันผุในขวดนม” เกิดจากอะไร? A: เกิดจากการที่เด็กดูดนม (โดยเฉพาะนมผสมหรือนมรสหวาน) แล้วหลับคาขวดนม หรือดูดนมมื้อดึกหลังอายุ 1 ปีขึ้นไป ทำให้น้ำตาลจากนมเคลือบอยู่ที่ฟันหน้าบนเป็นเวลานานจนผุเป็นแถบ
  10. Q: ลูกนอนกัดฟัน เป็นอันตรายไหม? A: การนอนกัดฟันพบบ่อยในเด็กเล็กและส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายรุนแรง และจะหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น แต่หากเสียงดังมากหรือกังวลว่าฟันจะสึกมาก ควรปรึกษาทันตแพทย์
  11. Q: ลูกหกล้มฟันกระแทก เลือดออก ควรทำอย่างไร? A: ให้รีบใช้ผ้าสะอาดกดห้ามเลือด หากฟันบิ่น แตก หัก หรือโยกคลอน ควรรีบไปพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด หากฟันหลุดทั้งซี่ ให้ล้างฟันด้วยน้ำสะอาด (ห้ามขัดถูที่รากฟัน) แล้วแช่ในนมจืดหรือน้ำเกลือล้างแผล แล้วรีบนำเด็กและฟันไปพบทันตแพทย์ทันที
  12. Q: เห็นจุดขาวๆ ขุ่นๆ บนผิวฟันลูก คืออะไร? A: อาจเป็นสัญญาณระยะแรกสุดของฟันผุ (White Spot Lesion) ซึ่งผิวฟันเริ่มสูญเสียแร่ธาตุ ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการทาฟลูออไรด์และคำแนะนำในการดูแลเพื่อหยุดยั้งไม่ให้กลายเป็นรูผุ
  13. Q: ให้ลูกกินวิตามินแบบเยลลี่หรือแบบน้ำเชื่อม ต้องระวังอะไรไหม? A: ต้องระวังอย่างมากค่ะ วิตามินเหล่านี้มักมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบและมีลักษณะเหนียวติดฟันง่าย หลังกินควรให้ลูกบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า และควรให้กินพร้อมมื้ออาหาร ไม่ควรกินก่อนนอนหลังแปรงฟันแล้ว
  14. Q: จำเป็นต้องพาลูกไปเคลือบฟลูออไรด์ไหม? A: การทาฟลูออไรด์ความเข้มข้นสูงโดยทันตแพทย์เป็นวิธีป้องกันฟันผุที่มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยเฉพาะในเด็กที่มีความเสี่ยงฟันผุสูง ทันตแพทย์จะประเมินและแนะนำความถี่ที่เหมาะสมให้ค่ะ
  15. Q: ลูกยังพูดไม่รู้เรื่อง จะพาไปหาหมอฟันได้อย่างไร? A: ไม่ต้องกังวลค่ะ ทันตแพทย์เด็กมีวิธีและจิตวิทยาในการรับมือกับเด็กเล็ก การตรวจมักจะรวดเร็วและทำในท่าที่เด็กรู้สึกปลอดภัยที่สุด เช่น ท่าแม่นั่งบนเก้าอี้แล้วให้ลูกนอนบนตัก
  16. Q: การเลิกขวดนม ควรทำเมื่อไหร่ดีที่สุด? A: ควรเริ่มฝึกให้ลูกดื่มจากแก้วตั้งแต่อายุ 6-8 เดือน และควรเลิกขวดนมให้ได้เด็ดขาดภายในอายุ 12-18 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงฟันผุและปัญหาการสบฟัน
  17. Q: ถ้าลูกไม่ชอบรสชาติยาสีฟัน ควรทำอย่างไร? A: ปัจจุบันมียาสีฟันสำหรับเด็กที่มีฟลูออไรด์ 1000 ppm และมีหลายรสชาติให้เลือก ลองเปลี่ยนยี่ห้อหรือรสชาติที่ลูกอาจจะชอบมากขึ้น
  18. Q: เราสามารถส่งต่อเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุไปสู่ลูกได้จริงหรือ? A: จริงค่ะ การใช้ช้อนส้อมร่วมกัน การเป่าอาหารให้ลูก หรือการจูบปาก สามารถส่งผ่านแบคทีเรียจากผู้ปกครองไปสู่ลูกได้ ดังนั้นผู้ปกครองเองก็ควรดูแลสุขภาพช่องปากของตนเองให้ดีอยู่เสมอ
  19. Q: ฟันของลูกขึ้นช้ากว่าเด็กคนอื่น ผิดปกติหรือไม่? A: ไม่จำเป็นต้องกังวลค่ะ ลำดับและช่วงเวลาการขึ้นของฟันในเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันได้ หากอายุเกิน 18 เดือนแล้วยังไม่มีฟันขึ้นเลยสักซี่ ควรพาลูกไปปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจดูความผิดปกติ
  20. Q: ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันให้ลูกบ่อยแค่ไหน? A: ควรเปลี่ยนทุกๆ 3-4 เดือน หรือเมื่อเห็นว่าขนแปรงเริ่มบานหรือเสื่อมสภาพแล้ว เพราะแปรงที่บานแล้วจะทำความสะอาดได้ไม่ดีเท่าที่ควร

การดูแลสุขภาพช่องปากของลูกน้อยอาจดูเหมือนมีรายละเอียดเยอะ แต่หัวใจสำคัญมีเพียง 3 อย่างคือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ 1000 ppm วันละ 2 ครั้ง, ลดความถี่ในการกินหวาน, และพบทันตแพทย์เป็นประจำเริ่มตั้งแต่ 1 ขวบ”

ขอเพียงคุณพ่อคุณแม่ใส่ใจและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ก็เปรียบเสมือนการมอบเกราะป้องกันฟันผุที่ดีที่สุดให้กับลูกรักแล้วครับ/ค่ะ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม อย่าลังเลที่จะปรึกษาทันตแพทย์เด็กใกล้บ้านนะคะ

ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมในเครือ สกายเทรนเด็นทัลกรุ๊ป