คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับเด็กเล็ก (2-6 ปี) ฉบับสมบูรณ์

สุขภาพช่องปากของลูกน้อยเป็นหนึ่งในความกังวลใจอันดับต้นๆ ของคุณพ่อคุณแม่ วัย 2-6 ปี ถือเป็นช่วงเวลาทองในการวางรากฐานสุขนิสัยที่ดีไปตลอดชีวิต คู่มือฉบับนี้ได้รวบรวมทุกแง่มุมที่สำคัญที่สุดในการดูแลฟันน้ำนมของเด็กๆ ให้แข็งแรง ปราศจากฟันผุ เพื่อเป็นแนวทางที่ละเอียดและนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันครับ

บทที่ 1: หัวใจของการดูแล – การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน

ฟันน้ำนมมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ใช้บดเคี้ยวอาหาร แต่ยังช่วยในการออกเสียง และที่สำคัญคือช่วย “กันที่” ไว้สำหรับฟันแท้ที่จะขึ้นมาในอนาคต หากฟันน้ำนมผุหรือต้องถูกถอนไปก่อนเวลาอันควร อาจส่งผลให้ฟันแท้ขึ้นมาผิดตำแหน่งหรือซ้อนเกได้

การแปรงฟัน: ทำอย่างไรให้ถูกต้องและได้ผล

  • ความถี่: แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ หลังอาหารเช้า และ ก่อนนอน การแปรงฟันก่อนนอนสำคัญที่สุด เพราะขณะหลับน้ำลายจะไหลน้อยลง ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี
  • อุปกรณ์ที่ต้องมี:
    • แปรงสีฟัน: เลือกแปรงที่มี ขนอ่อนนุ่ม ปลายมน หัวแปรงมีขนาดเล็กพอดีกับช่องปากของเด็ก สามารถซอกซอนได้ถึงซี่ในสุด ควรเปลี่ยนแปรงทุกๆ 3-4 เดือน หรือเมื่อขนแปรงเริ่มบาน
    • ยาสีฟัน: ต้องใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ที่มีความเข้มข้น 1,000 ppm (parts per million) ซึ่งเป็นปริมาณมาตรฐานสำหรับเด็ก เพื่อป้องกันฟันผุ
  • ปริมาณยาสีฟันที่เหมาะสม:
    • เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี: ใช้ปริมาณเท่า เมล็ดข้าวสาร หรือแค่แตะพอชื้นบนขนแปรง
    • เด็กอายุ 3-6 ปี: ใช้ปริมาณเท่า เมล็ดถั่วลันเตา
  • เทคนิคการแปรงฟันโดยผู้ปกครอง:
    1. จัดท่า: ให้เด็กนั่งบนตัก หันหน้าไปทางเดียวกับผู้ปกครอง หรือนอนหนุนตัก เพื่อให้มองเห็นฟันทุกซี่ได้ชัดเจน
    2. เริ่มแปรง: ขยับแปรงเป็น วงกลมสั้นๆ เบาๆ บริเวณคอฟัน (รอยต่อระหว่างเหงือกกับฟัน) ซึ่งเป็นบริเวณที่คราบจุลินทรีย์สะสมได้ง่ายที่สุด
    3. แปรงให้ครบทุกด้าน:
      • ด้านนอก (ด้านติดแก้ม): วางแปรงทำมุม 45 องศากับแนวฟัน แปรงวนเป็นวงกลม
      • ด้านใน (ด้านติดลิ้น/เพดานปาก): แปรงลักษณะเดียวกัน
      • ด้านบดเคี้ยว: ถูแปรงไปมาในแนวหน้า-หลัง
    4. แปรงลิ้น: แปรงที่ลิ้นเบาๆ เพื่อกำจัดแบคทีเรียและลดกลิ่นปาก
    5. บ้วนปาก: ให้เด็กบ้วนแค่น้ำลายและฟองยาสีฟันส่วนเกินออก ไม่จำเป็นต้องบ้วนน้ำตามหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ฟลูออไรด์คงเหลือเคลือบผิวฟันไว้
  • บทบาทของผู้ปกครอง: แม้เด็กจะเริ่มอยากแปรงฟันเอง แต่กล้ามเนื้อมัดเล็กของเขายังพัฒนาไม่เต็มที่ ผู้ปกครองจำเป็นต้องแปรงซ้ำให้ลูกเสมอจนกว่าจะอายุประมาณ 7-8 ปี หรือจนกว่าจะผูกเชือกรองเท้าเองได้

การใช้ไหมขัดฟัน (Floss): สิ่งที่ห้ามลืม

  • เมื่อไหร่ที่ต้องเริ่มใช้: ทันทีที่ฟันน้ำนม 2 ซี่ขึ้นมาติดกันจนไม่สามารถใช้แปรงทำความสะอาดซอกฟันได้
  • ทำไมจึงสำคัญ: แปรงสีฟันไม่สามารถทำความสะอาดซอกฟันที่ชิดกันได้ ซึ่งเป็นบริเวณที่ฟันผุได้ง่ายที่สุด
  • วิธีใช้: สำหรับเด็กเล็ก แนะนำให้ใช้ ไหมขัดฟันแบบมีด้ามจับ (Floss pick) จะสะดวกกว่า
    1. ค่อยๆ สอดไหมขัดฟันเข้าไประหว่างซอกฟัน
    2. โค้งไหมให้โอบรอบฟันแต่ละซี่เป็นรูปตัว C
    3. ขยับขึ้น-ลงเบาๆ จนถึงขอบเหงือก
    4. ทำให้ครบทุกซอกฟัน

บทที่ 2: โภชนาการเพื่อฟันแข็งแรง – เลือกกินอย่างฉลาด

อาหารการกินส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพช่องปากของลูก การควบคุมอาหารที่มีน้ำตาลคือเกราะป้องกันฟันผุที่ดีที่สุด

  • อาหารที่ควรส่งเสริม:
    • อาหารอุดมแคลเซียม: นมจืด, โยเกิร์ตรสธรรมชาติ, ชีส, ปลาตัวเล็ก
    • ผักและผลไม้สด: แอปเปิ้ล, แครอท, ฝรั่ง ช่วยทำความสะอาดฟันขณะเคี้ยว
    • น้ำเปล่า: เป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุด ควรให้ดื่มหลังอาหารและขนมเสมอเพื่อชะล้างเศษอาหาร
  • อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องระวัง (ตัวการฟันผุ):
    • เครื่องดื่มรสหวาน: น้ำผลไม้ (แม้จะเป็น 100%), นมเปรี้ยว, นมปรุงแต่งรสหวาน, น้ำอัดลม
    • ขนมเหนียวติดฟัน: ลูกอม, เยลลี่, คาราเมล, ผลไม้กวน/อบแห้ง
    • ขนมกรุบกรอบ: แป้งและน้ำตาลในขนมจะเกาะติดผิวฟันและกลายเป็นอาหารของเชื้อโรค
  • หลักการ “กินเป็นเวลา ไม่กินจุบจิบ”:
    • ทุกครั้งที่กินอาหารที่มีน้ำตาล เชื้อโรคในปากจะสร้างกรดขึ้นมาทำลายผิวฟัน (Acid Attack) ซึ่งจะคงอยู่ประมาณ 20-30 นาที
    • การกินจุบจิบตลอดทั้งวัน ทำให้ช่องปากมีสภาวะเป็นกรดอยู่ตลอดเวลา ฟันจึงผุง่ายขึ้น
    • ควรรวบมื้อขนมให้เป็นเวลาชัดเจน เช่น วันละ 1-2 ครั้ง และตามด้วยการบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือแปรงฟัน

บทที่ 3: พบหมอฟันเด็ก – เกราะป้องกันระดับมืออาชีพ

การพาลูกไปพบทันตแพทย์เฉพาะทางสำหรับเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

  • ความถี่: ควรพาลูกมาตรวจสุขภาพฟัน ทุกๆ 6 เดือน หรือตามที่ทันตแพทย์นัดหมาย
  • ประโยชน์ของการพบหมอฟันเป็นประจำ:
    • สร้างความคุ้นเคย: ทำให้เด็กไม่กลัวการทำฟัน
    • ตรวจหาความผิดปกติ: ค้นหาฟันผุในระยะเริ่มต้นซึ่งสามารถรักษาได้ง่าย
    • การป้องกันเชิงรุก: ทันตแพทย์จะ ทาฟลูออไรด์ชนิดเข้มข้น เพื่อเสริมความแข็งแรงให้ผิวฟัน และอาจพิจารณา เคลือบหลุมร่องฟัน (Sealant) ในฟันกรามเพื่อป้องกันฟันผุ
    • ให้คำแนะนำ: ผู้ปกครองจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับบุตรหลานของท่านโดยเฉพาะ
  • การเตรียมตัวลูกก่อนไปหาหมอฟัน:
    • พูดถึงการไปหาหมอฟันในแง่บวก เช่น “ไปให้คุณหมอนับฟัน” “ไปขัดฟันให้ปิ๊งๆ”
    • หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่น่ากลัว เช่น “ถ้าไม่แปรงฟันจะโดนหมอฉีดยานะ” “อย่าดื้อนะ เดี๋ยวหมอถอนฟันเลย”

บทที่ 4: ฟลูออไรด์ – ฮีโร่พิทักษ์ฟัน

ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ทั่วโลกว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันฟันผุ

  • กลไกการทำงาน:
    1. เสริมสร้างความแข็งแรง: ทำให้โครงสร้างผลึกของผิวฟัน (Enamel) ทนทานต่อกรดได้มากขึ้น
    2. ยับยั้งการสูญเสียแร่ธาตุ: ลดการละลายตัวของผิวฟันเมื่อเจอสภาวะกรด
    3. กระตุ้นการคืนกลับแร่ธาตุ: ช่วยซ่อมแซมฟันผุในระยะเริ่มต้น (ระยะที่เป็นจุดขาวขุ่น)
  • แหล่งที่มาของฟลูออไรด์:
    • ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ (สำคัญที่สุดในการใช้ทุกวัน)
    • การทาฟลูออไรด์โดยทันตแพทย์
    • ยาเม็ดฟลูออไรด์ (ใช้ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์เท่านั้น)

บทที่ 5: พฤติกรรมที่พบบ่อยและอุบัติเหตุในช่องปาก

  • การดูดนิ้ว / การใช้จุกนมหลอก:
    • เป็นพฤติกรรมปกติในเด็กเล็กเพื่อความสบายใจ
    • ส่วนใหญ่มักจะเลิกได้เองเมื่ออายุ 2-4 ปี
    • หากยังคงดูดนิ้วอย่างรุนแรงหลังอายุ 4-5 ปี หรือเมื่อฟันแท้เริ่มขึ้น อาจส่งผลต่อการเรียงตัวของฟันและโครงสร้างขากรรไกรได้ (เช่น ฟันหน้ายื่น, สบฟันไม่สนิท) ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข
  • การนอนกัดฟัน (Bruxism):
    • พบได้บ่อยในเด็กเล็กและมักไม่มีอันตรายร้ายแรง ฟันน้ำนมจะสึกไปบ้างตามธรรมชาติ
    • สาเหตุยังไม่แน่ชัด อาจเกี่ยวกับพัฒนาการของระบบบดเคี้ยว หรือความเครียด
    • หากกัดฟันรุนแรงจนมีอาการปวดกรามหรือปวดศีรษะ ควรปรึกษาทันตแพทย์
  • เมื่อเกิดอุบัติเหตุกับฟัน:
    • ฟันบิ่น/แตก: เก็บชิ้นส่วนฟันที่หัก (ถ้าหาเจอ) แช่ในนมจืดหรือน้ำลาย แล้วรีบไปพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด
    • ฟันหลุดออกจากเบ้า (จากอุบัติเหตุ):
      1. ห้ามจับที่รากฟันเด็ดขาด ให้จับเฉพาะส่วนตัวฟัน
      2. หากฟันสกปรก ให้ล้างด้วยน้ำนมจืดหรือน้ำเกลือล้างแผลเบาๆ (ห้ามขัดถู)
      3. พยายามใส่ฟันกลับเข้าที่เบ้าฟันเดิม แล้วให้เด็กกัดผ้าก๊อซเบาๆ
      4. หากใส่กลับไม่ได้ ให้แช่ฟันในน้ำนมจืด (ดีที่สุด) หรือน้ำลายของเด็ก
      5. รีบไปพบทันตแพทย์ทันที (ภายใน 30-60 นาที) เพราะทุกนาทีมีผลต่อความสำเร็จในการรักษา

บทสรุป

การดูแลสุขภาพช่องปากของลูกรักในวัย 2-6 ปี เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่คุ้มค่าที่สุด การสร้างสุขนิสัยที่ดีตั้งแต่ตอนนี้ จะส่งผลให้เขามีรอยยิ้มที่สวยงามและสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงไปตลอดชีวิต อย่าลืมว่า ผู้ปกครองคือบุคคลสำคัญที่สุด” ในการดูแลฟันของลูกครับ หากมีข้อสงสัยใดๆ อย่าลังเลที่จะปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางสำหรับเด็กนะครับ

FAQ: 20 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากเด็ก (พร้อมคำตอบ)

  1. คำถาม: ฟันน้ำนมเดี๋ยวก็หลุดไป ทำไมต้องดูแลจริงจังด้วย? คำตอบ: ฟันน้ำนมสำคัญมากในการบดเคี้ยวอาหาร, การออกเสียง, ความสวยงาม, และที่สำคัญคือการ “กันที่” ไว้ให้ฟันแท้ขึ้นได้ถูกตำแหน่ง หากสูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนเวลา อาจทำให้ฟันซ้อนเกและมีปัญหาการสบฟันในอนาคต
  2. คำถาม: ลูกไม่ยอมแปรงฟันเลย ทำอย่างไรดี? คำตอบ: ลองเปลี่ยนบรรยากาศให้เป็นเรื่องสนุก เช่น ร้องเพลงแปรงฟัน, แปรงฟันไปพร้อมกับพ่อแม่เป็นตัวอย่าง, ให้เขาเลือกแปรงสีฟันลายการ์ตูนที่ชอบ, หรือใช้แอปพลิเคชันช่วยจับเวลาแปรงฟัน
  3. คำถาม: ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ปลอดภัยสำหรับเด็กเล็กหรือไม่ กลัวลูกกลืนลงไป? คำตอบ: ปลอดภัยแน่นอนครับ หากใช้ในปริมาณที่ถูกต้อง (เท่าเมล็ดข้าวสารสำหรับเด็กต่ำกว่า 3 ปี และเท่าเมล็ดถั่วลันเตาสำหรับเด็ก 3-6 ปี) ปริมาณฟลูออไรด์ที่อาจกลืนลงไปนั้นน้อยมากและไม่เป็นอันตราย ประโยชน์ในการป้องกันฟันผุมีมากกว่าความเสี่ยงอย่างมหาศาล
  4. คำถาม: ต้องใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ความเข้มข้นเท่าไหร่? คำตอบ: สำหรับเด็กทุกคน แนะนำให้ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ 1,000 ppm ครับ สามารถดูได้ที่ฉลากข้างกล่องยาสีฟัน
  5. คำถาม: เมื่อไหร่ลูกจะแปรงฟันเองได้ โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องแปรงซ้ำ? คำตอบ: โดยทั่วไปคือประมาณอายุ 7-8 ปี หรือเมื่อเด็กสามารถเขียนหนังสือและผูกเชือกรองเท้าได้เอง ซึ่งบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อมือทำงานประสานกันได้ดีพอที่จะแปรงฟันได้สะอาดทั่วถึง
  6. คำถาม: การเคลือบหลุมร่องฟัน (Sealant) คืออะไร และจำเป็นต้องทำไหม? คำตอบ: คือการใช้วัสดุเรซินสีขาวหรือใสไปปิดทับหลุมร่องฟันที่ลึกๆ บนด้านบดเคี้ยวของฟันกราม เพื่อไม่ให้เศษอาหารเข้าไปติดและทำความสะอาดยาก ช่วยป้องกันฟันผุได้ดีมาก ทันตแพทย์จะแนะนำให้ทำในฟันกรามซี่ที่ขึ้นมาใหม่และมีความเสี่ยงผุสูง
  7. คำถาม: ฟันน้ำนมของลูกขึ้นมาห่างๆ หรือซ้อนกันเล็กน้อย ผิดปกติไหม? คำตอบ: การที่ฟันน้ำนมมีช่องว่างห่างๆ ถือเป็นเรื่องดี (Spacing) เพราะเป็นการเผื่อที่ไว้สำหรับฟันแท้ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า หากขึ้นมาซ้อนกันเล็กน้อยอาจต้องให้ทันตแพทย์ประเมินเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
  8. คำถาม: อะไรคือสาเหตุหลักของ “ฟันผุในเด็กเล็ก” หรือ “โรคฟันผุจากขวดนม”? คำตอบ: เกิดจากการให้เด็กดูดนม (โดยเฉพาะนมรสหวาน) หรือน้ำผลไม้จากขวดแล้วหลับคาขวดไป น้ำตาลจะเคลือบอยู่ที่ฟันตลอดทั้งคืนและทำให้ฟันผุอย่างรุนแรง โดยเฉพาะฟันหน้าบน วิธีป้องกันคือ ไม่ให้ลูกหลับคาขวดนม และควรเลิกขวดนมให้ได้เมื่ออายุประมาณ 1-1.5 ปี
  9. คำถาม: น้ำผลไม้กล่อง (UHT) ดีต่อสุขภาพฟันไหม? คำตอบ: ไม่ดีครับ น้ำผลไม้มีความเป็นกรดและน้ำตาลสูงมาก ไม่ต่างจากน้ำอัดลม ควรให้เด็กกินผลไม้สดเป็นชิ้นแทน ซึ่งจะได้ใยอาหารและมีประโยชน์มากกว่า ส่วนเครื่องดื่มที่ดีที่สุดคือน้ำเปล่า
  10. คำถาม: ลูกวิ่งเล่นแล้วฟันบิ่นไปนิดหน่อย ต้องไปหาหมอทันทีไหม? คำตอบ: ควรไปพบทันตแพทย์ครับ เพื่อประเมินว่ารอยบิ่นนั้นลึกแค่ไหน กระทบถึงชั้นโพรงประสาทฟันหรือไม่ และเพื่อทำการรักษาที่เหมาะสม เช่น การอุดตกแต่งฟัน
  11. คำถาม: ถ้าฟันน้ำนมถูกกระแทกจนหลุดออกมา ต้องทำอย่างไร? คำตอบ: ไม่ต้องพยายามใส่กลับเข้าไป เพราะอาจกระทบกระเทือนหน่อฟันแท้ที่อยู่ข้างใต้ ให้พาไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจดูว่ามีส่วนใดของรากฟันหักคาอยู่หรือไม่ และเพื่อประเมินผลกระทบต่อฟันแท้
  12. คำถาม: ทำไมฟันของลูกมีคราบสีเหลือง/สีน้ำตาล ทั้งๆ ที่แปรงฟันทุกวัน? คำตอบ: อาจเกิดจากคราบสีจากอาหาร (Chromogenic bacteria) หรือคราบจุลินทรีย์ที่แปรงออกไม่หมด การขัดฟันโดยทันตแพทย์สามารถกำจัดคราบเหล่านี้ได้
  13. คำถาม: ลูกชอบเอาของเล่นเข้าปากมากัด จะเป็นอันตรายต่อฟันไหม? คำตอบ: ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย แต่ควรเลือกของเล่นที่ปลอดภัย ไม่มีสารพิษ และไม่แข็งหรือมีมุมแหลมคมจนเกินไปที่อาจทำให้ฟันแตกหักหรือบาดเหงือกได้
  14. คำถาม: ควรให้ลูกเลิกดูดนิ้วหรือจุกหลอกเมื่ออายุเท่าไหร่? คำตอบ: ควรพยายามให้เลิกก่อนอายุ 4 ปี หรือก่อนที่ฟันหน้าแท้จะเริ่มขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาการสบฟันผิดปกติ
  15. คำถาม: ลูกนอนกัดฟันเสียงดังมาก น่ากังวลไหม? คำตอบ: เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและส่วนใหญ่มักหายไปเองเมื่อโตขึ้น หากไม่มีอาการเจ็บปวดหรือฟันสึกมากผิดปกติ ก็ยังไม่น่ากังวล แต่ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบเมื่อไปตรวจฟัน
  16. คำถาม: แปรงสีฟันไฟฟ้าดีกว่าแปรงธรรมดาสำหรับเด็กไหม? คำตอบ: แปรงสีฟันไฟฟ้าอาจช่วยให้การแปรงฟันสนุกขึ้นและกำจัดคราบจุลินทรีย์ได้ดีในเด็กบางคน แต่หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ชนิดของแปรง แต่อยู่ที่ “เทคนิคการแปรงที่ถูกต้อง” และ “ความสม่ำเสมอ” ซึ่งผู้ปกครองยังคงต้องเป็นคนควบคุมดูแลอยู่ดี
  17. คำถาม: ใช้อะไรช่วยให้ใช้ไหมขัดฟันในปากเล็กๆ ของลูกได้ง่ายขึ้น? คำตอบ: ไหมขัดฟันแบบมีด้ามจับ (Floss pick) คือคำตอบครับ ใช้ง่ายและสะดวกกว่าการใช้ไหมขัดฟันแบบเป็นเส้นพันนิ้วมากสำหรับเด็กเล็ก
  18. คำถาม: ลูกมีกลิ่นปาก เกิดจากอะไรได้บ้าง? คำตอบ: อาจเกิดจากเศษอาหารที่ติดค้าง, การแปรงฟันไม่สะอาด, ปากแห้ง, การติดเชื้อในลำคอหรือโพรงจมูก หรือมีฟันผุซี่ใหญ่ หากดูแลความสะอาดดีแล้วยังมีกลิ่นปากรุนแรง ควรปรึกษาทั้งทันตแพทย์และกุมารแพทย์
  19. คำถาม: ฟันน้ำนมซี่แรกจะหลุดตอนอายุเท่าไหร่? คำตอบ: โดยเฉลี่ยฟันน้ำนมซี่แรก (มักจะเป็นฟันหน้าล่าง) จะเริ่มหลุดตอนอายุประมาณ 6-7 ปี
  20. คำถาม: ต้องกังวลเรื่องฟันคุด (Wisdom teeth) ของลูกตั้งแต่ตอนนี้เลยไหม? คำตอบ: ยังเร็วไปมากครับ ฟันคุดจะเริ่มก่อตัวและขึ้นในช่วงอายุประมาณ 17-25 ปี ในวัย 2-6 ปี สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุดคือการดูแลฟันน้ำนมให้แข็งแรงครับ

หัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กวัย 2-6 ปี

หัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กวัย 2-6 ปี คือการสร้างรากฐานและสุขนิสัยที่ดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อรอยยิ้มที่แข็งแรงของเขาในอนาคต โดยมีหลักปฏิบัติสำคัญที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ ดังนี้:

  • การแปรงฟันโดยผู้ปกครอง: ต้องแปรงฟันให้ลูกวันละ 2 ครั้ง (เช้า และโดยเฉพาะก่อนนอน) ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ 1,000 ppm ในปริมาณที่ถูกต้อง (ก่อน 3 ปีเท่าเมล็ดข้าวสาร, 3-6 ปีเท่าเมล็ดถั่วลันเตา) และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ปกครองต้องเป็นผู้แปรงหรือแปรงซ้ำให้เสมอ จนกว่าลูกจะอายุประมาณ 7-8 ปี
  • การควบคุมอาหารและเครื่องดื่ม: ลดขนมหวาน ขนมเหนียวติดฟัน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกชนิด (โดยเฉพาะน้ำผลไม้และนมรสหวาน) ส่งเสริมการกินอาหารมื้อหลักและขนมให้เป็นเวลา ไม่กินจุบจิบ และให้ดื่มน้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มหลัก
  • การพบทันตแพทย์เด็กเป็นประจำ: พาลูกไปตรวจสุขภาพฟัน รับการทาฟลูออไรด์ และรับคำแนะนำจากทันตแพทย์ ทุกๆ 6 เดือน เพื่อป้องกันฟันผุในระยะเริ่มต้นและสร้างทัศนคติที่ดีต่อการทำฟัน
  • การใช้ไหมขัดฟัน: ทำให้เป็นนิสัยทุกวันในบริเวณที่ฟันของลูกขึ้นมาชิดกัน เพื่อทำความสะอาดในส่วนที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึงและเป็นแหล่งที่ฟันผุได้ง่าย

พึงระลึกเสมอว่า ผู้ปกครองคือบุคคลสำคัญที่สุด” ที่จะมอบสุขภาพช่องปากที่ดีเป็นของขวัญล้ำค่าให้แก่ลูกรัก ซึ่งจะส่งผลดีไปตลอดชีวิตของเขาครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมในเครือ สกายเทรนเด็นทัลกรุ๊ป